ส่งออกไทยสะดุด! เอกชนเตือนหากวิกฤตชายแดนยืดเยื้ออาจเสียหายแตะ 1 แสนล้าน

รายงานจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานสถานการณ์และผลกระทบจากความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา พร้อมรับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชนเพื่อจัดทำมาตรการบรรเทาความเสียหายทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นปรธานที่ปรุมเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้หารือร่วมกับผู้แทนภาคเอกชนไทยที่ได้รับผลกระทบจากการปิดด่านชายแดน โดยมีผู้แทนจากสภาธุรกิจไทย–กัมพูชา สมาคมธุรกิจไทยในกัมพูชา หอการค้าไทย และภาคเอกชนจาก 13 อุตสาหกรรม เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

แม้ภาคเอกชนเข้าใจนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้กัมพูชาดำเนินการตามเงื่อนไข 4 ข้อ ได้แก่ การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ และการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนที่มีปัญหา แต่ยอมรับว่าผลกระทบต่อภาคการค้าและโลจิสติกส์รุนแรง โดยมูลค่าการนำเข้า–ส่งออกผ่านชายแดนไทย–กัมพูชาลดลงเฉลี่ยเดือนละกว่า 15,000 ล้านบาท หากสถานการณ์ยืดเยื้อถึงสิ้นปี 2568 คาดมูลค่าความเสียหายอาจแตะระดับ 1 แสนล้านบาท

ภาคเอกชนได้เสนอให้รัฐบาลดำเนินมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน 3 ด้าน คือ

  1. ด้านการเงิน: ลดภาษี ค่าพลังงาน และค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค พร้อมออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อเสริมสภาพคล่อง
  2. ด้านโลจิสติกส์: เปิดเส้นทางเดินเรือและท่าเรือจังหวัดตราดเป็นทางเลือกชั่วคราว เมื่อสถานการณ์ผ่อนคลาย
  3. ด้านการนำเข้าสินค้าจำเป็น: อนุญาตให้นำเข้าสินค้าจำเป็นผ่านด่านทางบกเป็นกรณีพิเศษ เพื่อป้องกันปัญหาห่วงโซ่อุปทาน

ทั้งนี้ นายสีหศักดิ์ รับปากภาคเอกชนว่า จะเสนอเรื่องต่อ นายกรัฐมนตรีในโอกาสแรก เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปดำเนินการต่อ

นอกจากนี้ นางตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รายงานการปิดด่านและความไม่แน่นอนทางการเมืองในกัมพูชาทำให้แรงงานต่างด้าวบางส่วนเดินทางกลับประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจในภาคก่อสร้างและเกษตรกรรมประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน กระทรวงแรงงานจึงเปิดให้แรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายที่พำนักอยู่ในไทยขึ้นทะเบียนใหม่ ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม เพื่อแก้ปัญหาระยะสั้น

ขณะเดียวกัน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลกังวลผลกระทบด้านการท่องเที่ยว เพราะสถานการณ์ดังกล่าวอาจสร้างความกังวลต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงสั่งการให้หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวเร่งประชาสัมพันธ์ยืนยันว่า “ประเทศไทยยังปลอดภัย เดินทางได้ตามปกติ

นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ครม.เศรษฐกิจ ยังได้สั่งให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจเตรียมประเมินผลกระทบต่อการเจรจาด้านภาษีศุลกากร (Tariff) กับสหรัฐฯ และกำชับให้ใช้ความระมัดระวังในการประสานงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit 2025) ปลายเดือนตุลาคมนี้