
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาท อาจเคลื่อนไหวไร้ทิศทางในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ เช่นกัน ทว่า หากราคาทองคำย่อตัวลงต่อเนื่อง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง ตามโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวได้ นอกจากนี้ การปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC+ ล่าสุด ก็อาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้ ตามการปรับตัวขึ้นแรงของราคาน้ำมัน (ค่าเงินบาทอาจอ่อนไหวต่อทิศทางราคาน้ำมันดิบได้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงาน) ทั้งนี้ เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า หากนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยมากขึ้น และผู้เล่นในตลาดยังคงคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อ ซึ่งต้องรอติดตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนมีนาคม นอกจากนี้ สัญญาณเชิงเทคนิคัล ทั้ง RSI และ MACD ยังชี้ว่า เงินบาทมีโอกาสแกว่งตัว sideways โดยมีเส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน (แถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์) เป็นโซนแนวต้านแรกในช่วงนี้ แต่หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านและยืนเหนือระดับ 34.40 บาทต่อดอลลาร์ได้ ก็อาจเป็นสัญญาณที่ชี้ว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อ ขึ้นมาเคลื่อนไหวในโซน 34.50-34.70 บาทต่อดอลลาร์
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจเคลื่อนไหว sideways ในช่วงก่อนตลาดรับรู้ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ทั้งนี้ เงินดอลลาร์จะมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น โดยมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ หากยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) และการเติบโตของรายได้ (Average Hourly Earnings) รวมถึงรายงานดัชนี ISM PMI สหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.85-34.40 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.10-34.35 บาท/ดอลลาร์