นักธุรกิจร้องกองปราบสอบแก๊งต้มตุ๋นลวงพ่อทำนิติกรรมสูญแล้วกว่า 50 ล้าน

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2565 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายศุภโชค ศุภบัณฑิต นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ พร้อมครอบครัว และนายพิทยา เพชรพลอย , นายปัจจุคมน์ เจริญรัชต์  ทนายความ เดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อกองปราบปราม (บก.ป.) เพื่อขอให้สืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง หลังสงสัยว่าบิดากำลังถูกกลุ่มบุคคลที่น่าจะเป็นขบวนการเข้ามาหลอกลวง ทำให้สูญเสียทรัพย์สินไปแล้วประมาณ 50 ล้านบาท

นายศุภโชค เปิดเผยว่า พ่อของตนปัจจุบันอายุ 75 ปี เป็นทนายความ และทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เมื่อช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา พ่อได้รับการแนะนำให้รู้จักกับบุคคลคนหนึ่ง อ้างว่าสนใจจะมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่พ่อกำลังประกาศขาย โดยบุคคลดังกล่าวอ้างว่ามีเงินมากมาย แต่ละเดือนจะมีรายได้หลายร้อยล้านบาท และอยากมาร่วมลงทุนทำธุรกิจกับพ่อของตน เพราะถูกชะตาและศรัทธาในความสามารถ พ่อก็หลงเชื่อตามนั้น

หลังจากนั้นตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พ่อมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างมาก ออกจากบ้านไปอยู่กับบุคคลดังกล่าว ไม่กลับบ้าน ลดการติดต่อกับคนในครอบครัวและขาดการพบปะเพื่อนฝูง ไม่ไปพบแพทย์ตามปกติ เลยกำหนดเป็นเวลาหลายเดือน ตนได้ติดต่อไปยังบุคคลดังกล่าว เพื่อขอให้พาพ่อไปพบแพทย์ เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บุคคลนั้นได้พาพ่อไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และแพทย์ได้ออกใบรับรองแพทย์ โดยระบุว่าพ่อสามารถทำนิติกรรมได้

นายศุภโชค กล่าวว่า จากนั้นพ่อได้จดทะเบียนสมรสกับบุคคลดังกล่าว ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยว่า บุคคลนั้นได้ทำการหย่าขาดกับสามีเดิมซึ่งเป็นอดีตตำรวจ และในวันเดียวกันนั้นก็จดทะเบียนสมรสกับพ่อในทันที โดยการหย่าและการจดทะเบียนสมรสนั้น เกิดขึ้นที่ อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร ทางครอบครัว ได้ปรึกษากันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับพ่อ ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะพ่ออยู่กินกับภรรยาคนปัจจุบัน และช่วยกันทำมาหากินกันมาตั้งแต่ปี 2521 โดยไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรส แต่พอมาเจอกับบุคคลดังกล่าวไม่กี่เดือน กลับไปจดทะเบียนสมรสกัน

นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบข้อมูลเรื่องการทำนิติกรรม พบข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับทางครอบครัว เช่น มีการโอนทรัพย์สินของพ่อหรือของครอบครัว เช่น หุ้น ที่ดิน และคอนโดมีเนียม โดยอ้างว่าเป็นการขายให้ลูกชายของบุคคลดังกล่าว ครอบครัวคิดว่าอาจจะไม่มีการจ่ายเงินจริง หรือไม่เงินก็ถูกเอาไปจากพ่อหมดแล้ว ทั้ง 3 รายการนี้ มีมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท อีกทั้งยังมีการจัดการให้พ่อไปจำนองทรัพย์สินหลายรายการ โดยไม่ทราบว่าได้เงินมาจริงหรือไม่ และตอนนี้เงินไปอยู่ที่ใดบ้าง ซึ่งรายการทรัพย์สินเหล่านี้ รวมกับเงินสดที่พ่อได้มาจากการขายที่ดิน หรือค่าเช่าที่ดิน​ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา รวมกันประมาณ​ 30 ล้านบาท ซึ่งครอบครัวเพิ่งทราบว่าบุคคลดังกล่าวมีความพยายามในการนำทรัพย์สินของพ่อและครอบครัว ไปขายและจำนองในราคาต่ำ

“ระยะเวลาที่ผ่านมาครอบครัวก็อดทนมาตลอด แต่มาวันนี้ครอบครัว ตัดสินใจมาร้องขอความช่วยเหลือจากกองปราบปราม ให้ช่วยดำเนินการค้นหาข้อเท็จจริงว่าเป็นดังเช่นที่ทางครอบครัวสงสัยหรือไม่ เพราะทางเราเองก็ได้รับทราบจากข่าวว่า มีกรณีผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่ตกเป็นเหยื่อของบุคคลนี้ โดยมีพฤติกรรมที่คล้ายกันมาก” นายศุภโชค กล่าว

อย่างไรก็ตาม อยากขอให้สื่อมวลชนช่วยกันเตือนสังคมว่าไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลประเภทนี้ เพราะเราไม่อยากเห็นใครไปหลงเชื่อ และต้องเกิดความเสียหายอีก พร้อมทั้งขอฝากไปถึงบุคคลภายนอกที่สุจริตว่าไม่ควรที่จะเข้ามาซื้อ หรือรับจำนองทรัพย์สินของพ่อหรือของครอบครัว จากบุคคลดังกล่าว เพราะอาจจะตกเป็นเหยื่อหรือเครื่องมือ และเกิดความเสียหายหรืออาจต้องมีคดีความเกิดขึ้นในอนาคตได้

ด้านนายพิทยา กล่าวว่า ในส่วนของกฎหมายเราคงต้องสืบหาข้อเท็จจริงให้มากกว่านี้ ก่อนที่จะฟันธงว่ามีลักษณะเป็นการฉ้อโกงหรือไม่อย่างไร จึงต้องอาศัย การสืบสวนจากพนักงานสอบสวน ให้ได้ข้อเท็จจริงก่อน แต่ทราบว่าขณะนี้ทรัพย์สินถูกโอนไปที่ไหน อย่างไรบ้างนั้น พอจะทราบแล้ว รอเพียงการสืบสวนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน

Message us