‘สาทิตย์’นำส.ส.ปชป.ค้านกัญชาเสรีชี้กมธ.วิสามัญไม่แก้ไขปม’กัญชาทางการแพทย์’

เมื่อวันที่ 2 พ.ย.2565 กลุ่มส.ส.ประชาธิปัตย์ นำโดย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.จังหวัดตรัง นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ส.ส.จังหวัดระยอง นายประกอบ รัตนพันธ์ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และน.ส.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ จ.กระบี่ ร่วมกันแถลงร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. … ซึ่งคณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้วขึ้นมาพิจารณา

นายสาทิตย์ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอญัตติไปเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2565 ให้กมธ.พิจารณาถอนร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวออกไปพิจารณาทบทวนใหม่ และสภาได้มีมติโดยเสียงข้างมาก ให้ กมธ. ถอนร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ออกไปทบทวนใหม่ บัดนี้ กมธ. ได้เสนอร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวกลับมาที่สภาแล้ว

ทั้งนี้เป็นที่น่าเสียใจว่ากมธ.วิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ได้มีการแก้ไขตามที่มี 2 พรรคการเมืองได้เสนอไป ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้มีข้อเสนอไปทั้งสิ้น 13 ข้อ พรรคเพื่อไทยมีข้อเสนอ 5 ข้อ และจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย โดยศูนย์ศึกษาปัญหายาเสพติดเสนอให้มีการทบทวนเป็นรายมาตรา และในการพิจารณาร่างดังกล่าว ทราบว่า กมธ. มีการประชุมเพื่อพิจารณาเพียง 2-3 ครั้งเท่านั้น แล้วมอบให้ฝ่ายเลขาฯ ไปพิจารณา

หลังจากนั้นมีการประชุมกัน โดยมี ส.ส. บางท่านพยายามทักท้วงว่าควรหยิบเอาข้อเสนอแต่ละข้อขึ้นมาพิจารณาในชั้น กมธ. แต่ กมธ.โดยเฉพาะผู้ที่หน้าที่หลักๆ กลับไม่สนใจที่จะรับฟังข้อเสนอจากทั้ง 2 พรรค และจากคณะแพทย์ฯ จุฬาฯ หรือแม้แต่จะหยิบยกประเด็นทางสังคมที่มีความกังวลในเรื่องนี้

นายสาทิตย์ ได้ยกตัวอย่างบางประเด็นจาก 13 ข้อ ที่พรรคประชาธิปัตย์หยิบยกเป็นข้อเสนอคือ ให้ทบทวนว่ากัญชา ยังคงเป็นยาเสพติดหรือไม่ เพราะในมาตรา 3 ระบุว่า “กัญชาไม่ใช่ยาเสพติด” ถือเป็นประเด็นที่จะสร้างปัญหาต่อไปในอนาคต

นอกจากนั้น พรรคยังได้เสนอว่า ต้องแก้ไขบทนิยามศัพท์ การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในครัวเรือน ซึ่งเดิมกฎหมายเขียนไว้เพียงว่า “เป็นการบริโภคภายในครอบครัวเพื่อรักษาสุขภาพ” ซึ่งมีช่องว่างอยู่ว่าใครเป็นคนชี้ว่าบุคคลใดควรได้รับการบริโภคกัญชาเพื่อรักษาสุขภาพ และเรื่องนี้จะกลายเป็นประเด็นปัญหาทั้งในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงด้วย

พรรคจึงเสนอให้แก้ไขว่า การบริโภคส่วนบุคคลเพื่อดูแลสุขภาพของบุคคลในครอบครัว ต้องเป็นไปตามการวินิจฉัยของแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพตามที่กฎหมายกำหนด หากในกฎหมายไม่ได้ระบุให้ชัดเจน และมีความหละหลวม จะส่งผลให้ประชาชนคิดไปเอง ซึ่งจะทำให้นำไปสู่การใช้เพื่อนันทนาการได้

นอกจากนั้นในข้ออื่นๆ ยังมีการกำหนดให้ อย. เป็นผู้ปรับปรุง พัฒนาสายพันธุ์ในการปลูกกัญชา ซึ่งเรื่องนี้เป็นบทบาทหน้าที่ที่ อย. ไม่ควรทำ แต่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบ ให้ใบอนุญาตอาหาร ยา หรือเครื่องดื่มทั้งหลาย ดังนั้นการกำหนดให้ อย. มีหน้าที่ลักษณะนี้ จะทำให้ อย. เกิดปัญหาเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ได้

นายสาทิตย์ กล่าวอีกว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวยังจะส่งผลให้เป็นปัญหาทางการเมืองต่อไปในอนาคตได้ด้วย คือ ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการเรื่องกัญชาในขั้นตอนใดก็ตาม ถูกสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาต ในกฎหมายนี้ระบุว่าให้อำนาจรัฐมนตรี ในที่นี้คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สามารถสั่งอนุญาตไปพลางก่อนได้

“ไม่มีกฎหมายใดเขียนไว้ในลักษณะเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเหมืองแร่ หรือกฎหมายอื่นใด ที่เกี่ยวข้องกับการรับใบอนุญาตไปแล้ว หากถูกสั่งหยุด หรือเพิกถอน จะไม่มีการให้อำนาจรัฐมนตรีใช้อำนาจส่วนตนในการสั่งให้ดำเนินการไปพลางก่อนได้ เรื่องนี้จะนำมาซึ่งปัญหาที่จะมีการทับซ้อนแห่งผลประโยชน์ในอนาคต” นายสาทิตย์กล่าว

ขณะเดียวกัน กฎหมายนี้ไม่มีมาตรการควบคุมการซื้อขายอุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสูบกัญชา ทำให้ขณะนี้แม้แต่บนสถานีรถไฟฟ้าใน กทม. มีการขายกัญชาข้างถนน และขายอุปกรณ์ในการเสพ เช่น บ้องกัญชา โดยที่ตำรวจไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้เลย

ดังนั้นเมื่อ กมธ. ไม่มีการแก้ไขร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว การส่งเข้าสู่สภาก็จะทำให้มีการอภิปรายอย่างมาก และหากยังยืนยันโดยเสียงข้างมาก หรือยืนยันโดย กมธ. ก็ดี อาจจะส่งผลให้เกิดความโกลาหลในสภา และถ้ากฎหมายนี้ผ่านสภาออกมาโดยขาดความรอบคอบ พรรคประชาธิปัตย์จึงมีความจำเป็นที่จะต้องออกมาพิทักษ์ผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการใช้กัญชาโดยไม่ถูกต้อง ด้วยการลงมติไม่รับกฎหมายฉบับนี้

“สถานการณ์ของกฎหมายฉบับนี้ มีแนวโน้มยืดเยื้อแน่นอน 90 กว่ามาตราอภิปราย 1 สัปดาห์ไม่จบ ถึงอภิปรายจบลงมติไม่ผ่านสภา ก็ต้องไปที่วุฒิสภา ซึ่งก็มีแนวโน้มที่วุฒิสภาก็จะใช้เวลาในการพิจารณาเพิ่มเติมอีก ระยะเวลาที่ยาวนานจากนี้ไป สิ่งหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์กังวลก็คือกฎหมายกัญชาไม่มี ในขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงนามในประกาศกระทรวงเพิกถอนกัญชาออกจากยาเสพติดประเภท 5 แล้ว ขณะนี้ไทยถูกสื่อต่างประเทศเรียกว่า เป็นเมืองหลวงกัญชาของโลกไปแล้ว” นายสาทิตย์กล่าว

นายสาทิตย์ กล่าวย้ำจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ว่า พรรคเห็นว่ากัญชานั้นมีประโยชน์ แต่ต้องเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ แต่มีโทษมหาศาลซึ่งจะต้องหาทางป้องกัน สถานการณ์ที่เป็นช่องว่างขณะนี้ และกฎหมายจะต้องยืดเยื้อไปอีกนาน มีทางเดียวเท่านั้นคือ จะต้องนำกัญชากลับมาอยู่ในบัญชียาเสพติดประเภท 5 อีกครั้ง

“คำถามสุดท้ายคือฝ่ายใดก็ตามดันเรื่องกัญชาเสรีขณะนี้ ท่านต้องการอะไรกันแน่ แต่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เรายืนหยัดอยู่ในจุดที่เป็นห่วงต่ออนาคตลูกหลาน และสังคม เราต้องการให้สังคมนี้ปลอดจากยาเสพติด” นายสาทิตย์กล่าว

ด้าน นายพิสิฐ กล่าวว่า หากไม่มีการปิดช่องโหว่ในกฎหมายดังกล่าว จะทำให้ พ่อแม่และผู้ปกครองเป็นห่วงว่าลูกหลานของตัวเองจะเมากัญชา ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย รวมทั้งจากนี้ไปประเทศไทยจะถูกตราหน้าว่าเป็นดินแดนกัญชา เมื่อเราส่งสินค้าไปต่างประเทศก็จะถูกตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยได้ และรวมไปถึงคนไทยที่จะเดินทางไปต่างประเทศก็จะถูก ตม.ของประเทศปลายทางตรวจสอบอย่างเข้มข้นอีกด้วย

Message us