
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ความคืบหน้าเกี่ยวกับข่าวลือ การเสียชีวิตของนายประเวศ พลเชียงขวาง หรือเวศ อายุ 72 ปี อดีตนักมวยแชมป์โลกชื่อดังเจ้าของฉายา”หมัดซ้ายพิฆาต”ที่เคยมีอนาคตรุ่งโรจน์เมื่อ 50 ปีก่อน ภูมิลำเนาอยู่ บ้านโคกสว่าง ต.ดอนนางหงส์ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ภายหลังชีวิตตกอับครอบครัวแตกแยก จากปัญหาทำธุรกิจส่วนตัวล้มละลาย เกี่ยวกับบริษัทจัดหาแรงงานไปต่างประเทศ เนื่องจากลาวงการมวยมาตั้งแต่ปี 2524 จึงหาทางลงทุนประกอบธุรกิจ แต่เกิดความล้มเหลว ครอบครัวแตกแยก มีลูกกับภรรยา 2 คน เป็นหญิง 1 คน ชาย 1 คน สุดท้ายต้องกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด โดยมี นางณิยมรัศม์ พลเชียงขวาง อายุ 78 ปี พี่สาวเป็นคนดูแล รวมถึงลูกชายคนที่สอง คือ นายสุมนต์ชัย พลเชียงขวาง อายุ 42 ปี คอยดูแลในช่วงบั้นปลายชีวิต
ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสอบถามพูดคุย เกี่ยวกับความเป็นอยู่ กับอดีตนักมวย ฉายา เวนิส บขส. หลังเคยมีข่าวล้มป่วย ถึงขั้นมีข่าวลือว่าเสียชีวิต จนกลายเป็นที่สนใจอยากติดตามความเป็นอยู่ของแฟนมวย รวมถึงคนในแวดวงมวย เนื่องจากเคยเป็นคนที่เคยสร้างชื่อเสียงให้วงการมวย และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยและมวยไทยดังไปทั่วโลก โดยเจ้าตัวยืนยันว่า หลังล้มป่วยเข้ารักษาที่โรงพยาบาลนครพนมประมาณ 2 เดือนได้ออกมาฟักฟื้นที่บ้านพัก ปัจจุบัน มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีเพียงโรคความดัน เบาหวาน ทั่วไปตามวัยชรา

เวนิส บขส. เปิดเผยว่า ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่ยังคิดถึงให้ความสนใจ เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ บางคนห่วงใย มาสอบถามความเป็นอยู่ และมาดูแลช่วยเหลือ ตามสภาพ ตนยืนยันไม่ขอเรียกร้องความช่วยเหลือ เพราะปัจจุบันใช้ชีวิตตามหลักพอเพียง ตามพระราชดำริ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในปั้นปลายของชีวิต ได้ค่าใช้จ่าย จากเบี้ยผู้สูงอายุ 700 บาท และ สวัสดิการ จากการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นเงินเดือนละ 3,000 บาท ถือว่า เพียงพอ เพราะมีพี่สาว กับลูกชาย คอยดูแล อีกทาง มีเพียงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั่วไป แต่หากคนที่อยากดูแลช่วยเหลือไม่ขัดศรัทธา เพียงไม่ขอเรียกร้อง เนื่องจากชีวิตที่ผ่านมา เกิดจากความผิดพลาดในชีวิต เกี่ยวกับการทำธุรกิจล้มเหลว ทำให้หมดเนื้อหมดตัว เงินลงทุนไปกว่า 10 ล้านบาท จนครอบครัวแตกแยก และกลับมาใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายที่บ้านเกิดหลังจากหวยป่วย แต่ยังมีโรคประจำตัวคือ โรคความดัน เบาหวาน แต่ไม่สามารถกินยาได้ เพราะแพ้ยา ต้องใช้วิธีการออกกำลังกายเบาๆ เดินไปมาช่วงเช้าและเย็น และขอใช้ชีวิตตามอรรถภาพ
ทั้งนี้ ขอฝากเป็นแนวทางชีวิต สำหรับลูกหลานแวดวงการกีฬา วงการมวย หากเราเคยรุ่งโรจน์ จะต้องวางแผนชีวิตในช่วงวัยแก่ชรา เพราะไม่มีใครสารมารถช่วยเหลือเราได้ไปตลอดชีวิต สุดท้ายต้องดูแลตัวเอง อย่างไรก็ตามมาถึงวันนี้ยังภาคภูมิใจสูงสุดที่ได้ สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย และความทรงจำที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่เคยลืม เคยเข้าเฝ้าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกทั้งพระองค์ ได้เสด็จทอดพระเนตรการชกมวย ด้วยพระองค์เอง หลังจากชนะแล้ว ได้ลงจากเวทีเพื่อเข้าเฝ้ากราบฝ่าพระบาท พระองค์ทรงตรัสถามว่า “เจ็บมั้ย เหนื่อยมั้ย เก่งมากหนู ขอให้รักษาแชมป์ไว้นานๆ แบบรุ่นพี่ ” พระองค์ยังทอดพระเนตรด้วยแววตาเมตตานับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น หาที่สุดมิได้ และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต อีกทั้งได้รับพระราชทานถ้วยรางวัลเกียรติยศ จากในหลวงรัชกาลที่ 10 ด้วย

ด้าน นายสุมนต์ชัย พลเชียงขวาง อายุ 42 ปี ลูกชาย เวนิส บขส. กล่าวว่า มาถึงวันนี้ถึงพ่อจะไม่มีทรัพย์สิน หรือทรัพย์สมบัติให้ แต่มีความภาคภูมิใจที่พ่อได้สร้างชื่อเสียงให้ครอบครัว สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยมาในอดีต ถือว่ายากมากคนที่จะมีโอกาสได้แชมป์โลก ตนบอกพ่อเสมอว่า ครอบครัวไม่เคยโทษใครไม่เรียกร้องสิทธิอะไร ที่ได้ทุกวันนี้ เกี่ยวกับเบี้ยผู้สูงอายุ สวัสดิการ จาก กกท. ถือว่ามากพอแล้ว เพราะสิ่งที่ผิดพลาดเป็นการทำธุรกิจของพ่อที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ปั้นปลายชีวิต ยังมีลูก รวมถึง พี่สาว และป้า ที่คอยดูแล ตามอรรถภาพ ขอบคุณทุกกำลังใจที่ยังเป็นห่วง และให้กำลังใจเสมอมา ขอดูแลพ่อให้ดีที่สุด
สำหรับ เส้นทางชีวิตของ เวนิส บขส.ซ้ายพิมาต ถือว่าเป็น อดีตนักมวยแชมป์โลกชื่อดัง ที่เคยมีอนาคตรุ่งโรจน์ เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน เดิมเส้นทางชีวิต มีใจรักในอาชีพนักมวยมาตั้งแต่เด็กสมัยเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา เนื่องจากชีวิตครอบครัวยากจน จึงอยากมีรายได้จากการชกมวยเพื่อแลกค่าตัว ทำให้เดินสายรับจ้างชกมวยตามงานวัดตั้งแต่ค่าตัวไม่กี่ร้อยบาท เนื่องจากพี่ชายทำค่ายมวยในชื่อ ค่ายพายทอง จนกระทั่งมีแวว จึงได้ไต่เต้าขึ้นมาตั้งแต่มวยวัด จนถึงระดับมวยอาชีพ จนกระทั่งเรียนจบชั้น มศ. 3 ในสมัยนั้น จากโรงเรียนปิยะมหาราชาลัย โรงเรียนประจำจังหวัดนครพนม จึงได้มีคนมาชักชวนไปอยู่กับค่ายมวยชื่อดัง ค่ายมวย บขส. ที่กทม. เริ่มจากมวยแทนจนกระทั่ง เป็นนักมวยขึ้นชั้น จากมวยไทยสู่มวยสากลทำให้ได้แชมป์มวยรอบครั้งแรก ศึกมวยรอบพ็อบท็อป เมื่อประมาณ 2508 ได้ค่าตัวประมาณ 1,500 บาท กลายเป็นแรงบันดาลใจมุ่งมั่นในการฝึกซ้อม

จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่มวยแชมป์ ฟลายเวทประเทศไทย (เวทีลุมพินี) เมื่อปี 2513 แชมป์ฟลายเวท WBC เมื่อปี 2515 – 2516 ซึ่งถือเป็นแชมป์สูงสุดของนักมวยระดับโลก และแชมป์แบนตั้มเวทประเทศไทย เวทีราชดำเนิน เมื่อปี 2522 – 2524 เคยได้รับค่าตัวสูงสุดที่ประมาณ 1.2 ล้านบาท ทำให้ชีวิตอนาคตรุ่งเรืองสูงสุดในยุคนั้น ไม่แตกต่างนักมวยชื่อดัง และดาราดังระดับประเทศ จนมีวงการละครมาทาบทามไปแสดงละคร เมื่อประมาณ 2524 หลังจากอำลาวงการมวย อายุได้ประมาณ 32 ปี โดยทาง บริษัทขนส่งได้บรรจุเข้าเป็นพนักงาน ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับ แต่ตัดสินใจลาออกหลังทำงานได้ประมาณ 10 ปี กลับบ้านเกิดหันมาทำงานเปิดบริษัทจัดหางานส่งแรงงานไปต่างประเทศ ทำธุรกิจ ได้ประมาณ 5 ปี เกิดปัญหาขาดทุนจากบริษัทใหญ่ล้มทำให้ทรัพย์สินที่เคยมีหลาย 10 ล้านบาท หายไปในระยะเวลาไม่กี่ปี จนเป็นหนี้สิน ชีวิตตกต่ำ ครอบครัวกับแตกแยกไปคนละทาง เพื่อเอาตัว จนกระทั่งสุดท้ายบั้นปลายของชีวิต ต้องมาทำไร่ทำนา อาศัยรายได้เบี้ยยังชีพคนแก่ ใช้ชีวิตพอเพียงที่บ้านเกิด
ข่าว/ภาพ : พัฒนพงษ์ ศรีเพียชัย ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครพนม
