คนขับซิ่งกระบะหนีรอดจับกุมหวุดหวิดลอยแพ 24 ต่างด้าวไว้กลางป่า

นายชาคริต ตันพิรุฬห์ นายอำเภอทองผาภูมิ เปิดเผยว่า นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้สั่งกำชับให้ทุกอำเภอปฏิบัติการ “SEAL STOP SAVE”ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอำเภอที่มีชายแดนติดกับประเทศพม่า โดยในช่วงเย็นวันที่ 15 มิ.ย.ตนได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า จะมีขบวนการลักลอบขนต่างด้าวชาวเมียนมา ข้ามชายแดนเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายด้วยการใช้รถยนต์เป็นพาหนะ

หลังจากได้รับแจ้งจึงรายงานไปยัง ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ทราบ จากนั้น จึงมอบหมายให้นายยงยุทธ แสวงสุข ปลัดอำเภอ พร้อมด้วยสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนอำเภอทองผาภูมิที่ 9 ร่วมกับผู้ปกครองท้องที่ออกหาข่าวพร้อมลาดตระเวนไปตามเส้นทางที่คาดว่าขบวนการดังกล่าวจะใช้เป็นเส้นทางในการลำเลียงกลุ่มต่างด้าวเข้ามาในเขตพื้นที่อำเภอทองผาภูมิ

จนกระทั่งเวลา 05.00 น.วันที่ 16 มิ.ย.ขณะเจ้าหน้าที่กำลังซุ่มโป่งอยู่แยกเกริงกระเวีย ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ พบรถยนต์ต้องสงสัยขับมาจากทางด้าน อ.สังขละบุรี ไปตามถนนสาย 323 มุ่งหน้าไปทางด้าน อ.ทองผาภูมิ เจ้าหน้าที่จึงขับรถติดตามไปเพื่อสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เนื่องจากไม่ต้องการให้คนขับรู้ตัว แต่สุดท้ายเกิดไหวตัวทันจึงเร่งเครื่องหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจขับติดตามไป จนกระทั่งไปถึงบริเวณสวนยางพาราท้องที่ หมู่ 2 ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ ปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวได้กลับรถแล้วขับสวนทางมาอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่พยายามติดตามไปแต่ไล่ไม่ทัน ทำให้คนขับรถยนต์คันดังกล่าวสามารถหลบหนีการจับกุมไปได้

เจ้าหน้าที่นำโดยนายยงยุทธ แสวงสุข ปลัดอำเภอทองผาภูมิจึงตัดสินใจนำกำลังย้อนกลับไปตรวจสอบบริเวณจุดที่คนขับกลับรถใกล้กับสวนยางพารา ผลปรากฏพบต่างด้าวชาวเมียนมา หลบซ่อนตัวอยู่ที่บริเวณดังกล่าวทั้งหมด จำนวน 24 คน เป็นชาย 22 คน หญิง 2 คน จากการตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระพบเพียงเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวรวมถึงเสบียงอาหารที่ใช้ประทังความหิวระหว่างเดินทางโดยไม่พบสิ่งผิดกฎหมายชนิดอื่นๆแต่อย่างใด

จากการสอบถามผ่านล่าม เบื้องต้นกลุ่มต่างด้าวให้การว่า พวกตนมาจากหลายเมืองของประเทศเมียนมา เช่น เมืองย่างกุ้ง และเมาะลำไย ทั้งหมดเดินทางมารวมตัวกันที่อำเภอพญาตองซู ประเทศเมียนมา จากนั้นมีผู้ชำนาญเส้นทางเป็นชาวเมียนมา ด้วยกันนำพาเดินลัดเลาะไปตามชายป่าด้วยการใช้ช่อทางธรรมชาติข้ามชายแดนเข้ามาฝั่งไทย จากนั้น เดินทางไปตามชายป่าเพื่อหลบด่านตรวจ เมื่อผ่านมาได้มีคนขับรถมารับนำไปส่งลงเรือเมื่อขึ้นฝั่งมาได้ก็มีคนขับรถมารับอีกทอดหนึ่ง ทั้งหมดต้องการเดินทางไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย แต่ต้องใช้เส้นทางของประเทศไทยเป้นทางผ่าน โดยทุกคนต้องจ่ายค่าหัวให้กับนายหน้าคนละ 55,000 บาท ระหว่างเดินทางก็มาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว ส่วนคนขับที่นำรถมารับสามารถขับรถยนต์ฝ่าความมืดหลบหนีไปได้

หลังจากกลุ่มผู้ต้องหาให้การยอมรับสารภาพ เจ้าหน้าที่จึงนำรถยนต์มารับเพื่อนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิดำเนินคดีตามกฎหมาย ในข้อกล่าวหา กระทำความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

ขณะเดียวกันในช่วงเวลา 23.00 น.ของวันที่ 15 มิ.ย.ต่อเนื่องถึงเช้าวันใหม่ (16 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่นำโดย พ.ต.อ.สันติ พิทักษ์สกุล ผกก.สภ.สังขละบุรี พ.ต.ท.กิตติณัติ์ ปรีชาวุฒิวงศ์ รอง ผกก.ป.สภ.สังขละบุรี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบกลุ่มบุคคลต้องสงสัยหลบซ่อนตัวอยู่ชายป่าหลังลานมันแห่งหนึ่งในพื้นที่หมู่ 3 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี คาดว่าน่าจะเป็นเป็นต่างด้าวหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย

พ.ต.อ.สันติ พิทักษ์สกุล ผกก.สภ.สังขละบุรี จึงสั่งการให้ พ.ต.ต.ประดิษฐ์ แร่เพชร สวป.สภ.สังขละบุรี ร.ต.ท.นิติพล พันซ้อน รอง สวป.สภ.สังขละบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่สายตรวจรถยนต์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ เจ้าหน้าที่ ตชด.134 เจ้าหน้าที่ ตม.จ.กาญจนบุรี และ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.สังขละบุรี นำกำลังไปตรวจสอบ

ไปถึงกลุ่มต่างด้าวกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ชายป่า จำนวน 8 คน เป็นชาย 6 คน หญิง 2 คน เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าจับกุม จากการขอตรวจเอกสารปรากฏว่า ต่างด้าวทั้ง 8 คนไม่สามารถนำมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ อีกทั้งยังสื่อสารภาษาไทยไม่ได้ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวมาที่ สภ.สังขละบุรี

จากการสอบถามผ่านล่าม ทราบว่า ทั้งหมดกำลังรอรถมารับเพื่อนำพาไปทำงานพื้นที่จังหวัดชั้นในของไทย เมื่อไปถึงญาติของกลุ่มต่างด้าวที่ถูกจับกุมจะเป็นผู้ดำเนินการให้ทั้งเรื่องสถานที่ทำงานรวมถึงจ่ายค่าหัวให้กับนายหน้า โดยที่พวกตนยังไม่ทราบจะต้องไปทำงานที่ใด และต้องจ่ายค่าเดินทางให้กับนายหน้าคนละเท่าไหร่ หลังจากทั้งหมดให้การยอมรับสารภาพเจ้าหน้าที่จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.สังขละบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อกล่าวหา กระทำความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

ข่าว/ภาพ : ปรีชา ไหลวารินทร์ ผู้สื่อข่าวจังหวัดกาญจนบุรี

Message us