คปท.จี้”ภูมิธรรม”เลิกหน่อมแน้มต้องเด็ดขาดแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. เดินทางไปที่กระทรวงกลาโหม เพื่อแสดงจุดยืน พร้อมทั้งเรียกร้องให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เร่งแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้เกิดความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว โดยเสนอให้ใช้กลไกสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ซึ่งเป็นหน่วยงานดูแลด้านความมั่นคงโดยตรง มีบทบาทขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ให้มากกว่านี้

นอกจากนั้น ยังตั้งข้อสังเกตว่า นายภูมิธรรม อาจจะเกรงใจความสัมพันธ์ส่วนตัว ระหว่างสองครอบครัว และระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร และสมเด็จฮุนเซ็นอยู่หรือไม่ แต่สถานการณ์ชายแดนวันนี้ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ครอบครัว แต่เป็นความขัดแย้งที่อาจจะบานปลาย จึงมองว่าไทยต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนมากกว่านี้

ทั้งนี้ ยืนยันว่า กลุ่มคปท. ไม่ได้ออกมากดดันกองทัพ แต่ต้องการสื่อสารไปยัง รมว.กลาโหมพลเรือน ที่ขณะนี้มีท่าทีตกเป็นรองทางการเมืองฝ่ายกัมพูชา รวมทั้ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยแสดงท่าทีตอบโต้อย่างชัดเจนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาปลุกระดมอ้างสิทธิ์ในพื้นที่เขตแดนที่ยังตกลงกันไม่ได้จึงมองว่า แม้ทิศทางทางการเมืองตอนนี้จะตกเป็นรองกัมพูชาแต่ทิศทางด้านความมั่นคง ต้องไม่ตกเป็นรอง โดยย้ำว่าจะจับตาการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทยกัมพูชาที่กรุงพนมเปญ 14 มิถุนายนนี้ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ช่องบกจังหวัดอุบลราชธานี และเห็นว่าไทยต้องมีจุดยืนชัดเจน ก่อนที่จะไปเจรจากับกัมพูชา

คปท. ยังเรียกร้อง ให้รมว.กลาโหมให้อำนาจกองทัพ ตัดสินใจในพื้นที่ชายแดนมากกว่านี้ ซึ่งที่ผ่านมากองทัพได้เสนอมาตรการแก้ไขปัญหาชายแดนจัดเบาไปหาหนัก เช่น ข้อเสนอความปิดการชายแดน แต่ไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร อีกทั้ง กองทัพมีท่าทีที่ดีแล้วแม้ว่าจะนิ่ง แต่ก็พร้อมรบ ซึ่งไทยเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางกองทัพมากกว่ากัมพูชา แต่ที่ผ่านมาฝ่ายการเมือง เป็นผู้ชักนำ และกองทัพก็ให้เกียรติฝ่ายการเมือง ดังนั้นในวันนี้ถึงเวลาที่ฝ่ายการเมืองต้องให้เกียรติกองทัพตัดสินใจ โดยเชื่อว่าแผนที่กองทัพเสนอรัฐบาลมีหลายข้อแต่ถูกปฏิเสธไป และมองว่าหลังการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ อาจจะเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นได้ ดังนั้น จึงต้องเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใช้ กลไกของสภาความมั่นคง เข้าแก้ไขปัญหา ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้มากที่สุด

นายพิชิต ให้สัมภาษณ์ภายหลังการยื่นหนังสือ ว่า ได้มีการหารือใน 3 ประเด็น คือ รมว.กลาโหมไม่มีท่าทีในการประท้วงทหารกัมพูชาอย่างเป็นทางการถึงแม้ทางกองทัพภาคที่ 2 จะมีการทำหนังสือประท้วงบริเวณปราสาทตาเมือนธมและช่องบก ไปแล้ว แต่เป็นการแสดงท่าทีของฝ่ายปฏิบัติ วันนี้ถึงเวลาแล้ว รมว.กลาโหม ต้องมีหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการเพื่อเป็นหลักฐาน ต้องกล้าประกาศว่า บริเวณพื้นที่ไหนเป็นพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การเจรจาใน JBC และมองว่า การเจรจาจะเกิดขึ้นได้แบบสันติและยั่งยืนคือ ไทยต้องมีการกำหนดพื้นที่ที่ชัดเจนเพื่อให้ทหารในพื้นที่มีทิศทางในการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ปล่อยให้ทหารกัมพูชา อ้างสิทธิ์เป็นพื้นที่ทับซ้อนแล้วเข้ามาปฏิบัติการทางทหารเพียงฝ่ายเดียว

นายพิชิต กล่าวว่า วันนี้ฝ่ายการเมืองเป็นรัฐบาลมีบทบาทน้อยไม่สร้างความมั่นใจให้กับคนไทยเลย โดยสภากลาโหม ที่ประกอบไปด้วยผู้นำเหล่าทัพ ควรเข้ามามีบทบาทด้านความมั่นคงบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย -กัมพูชา ให้มากกว่านี้ ทำให้เป็นเหมือนที่ปรึกษาหลักในการกำหนดพื้นที่ชายแดน โดยเชื่อว่ายุทธวิธีการทหารแนวมีวิธีปฏิบัติจะเบาไปหาหนักอยู่แล้ว อย่างการปิดด่าน ที่ไม่จำเป็นต้องปิด 24 ชั่วโมง หรือทุกจุด ก็ได้ เพราะมีวิธีแนะแนวปฏิบัติอยู่แล้วเพียงแต่ไทยไม่เคยมีการแสดงภาวะกดดันให้กัมพูชารู้สึกเกรงใจ โดยมีแต่เดินตามกัมพูชามาโดยตลอด ซึ่งเราเห็นด้วยกับการเจรจาทางการพูดอย่างสันติวิธี

เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับกระแสสังคมที่มีการเรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติ นายพิชิต กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ซึ่งยุทธวิธีทางการทหารยังมีอีกหลายวิธีที่จะสามารถดำเนินการไปได้ โดยทางโฆษกกระทรวงกลาโหมและโฆษกกองทัพไทยได้มีการอธิบายถึงขั้นตอนเบาไปหาหนัก รวมถึงขั้นตอนการประกาศออกกฎอัยการศึก ก็มีความจำเป็น

อย่างไรก็ตาม หลังจากยื่นหนังสือเสร็จจากนั้น คปท.ได้เคลื่อนไปแสดงจุดยืนที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก ราชดำเนิน เพื่อให้กำลังใจ พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ดูแลสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

Message us