
เมื่อเย็นวันที่ 29 พ.ค. ที่ บก.ปปป. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปปป. และ กก.5 บก.ป. คุมตัวนางพชรพร สีเลี้ยง หรือ บอสเตยและ พ.จ.อ.ฉัตรชัย สีเลี้ยง สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในคดีสนับสนุน นายแย้ม อินทร์กรุงเก่า อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จ.นครปฐม ยักยอกเงินวัดไร่ขิง มาสอบปากคำ
ทั้งนี้ ทันทีที่มาถึงเจ้าหน้าที่ก็ได้เร่งคุมตัวทั้งสองเดินลงจากรถแล้วมุ่งหน้าเข้าไปภายในอาคารทันที ซึ่งระหว่างที่เจ้าหน้าที่คุมตัวทั้งสองลงจากรถ เผยให้เห็นสีหน้าท่าทางของทั้งคู่ที่อยู่ในอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ทั้งสองเดินก้มหน้าไม่ขอตอบคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น
กระทั่งเวลา 22.00 น. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงกรณีจับกุมบอสเตยกับสามีว่าการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 รายนี้ เนื่องจากพบว่ามีการนำเงินของวัดไปใช้ส่วนตัว ในลักษณะอ้างว่าจะนำไปทำโครงการต่าง ๆ ให้วัด ไม่ใช่กรณียักยอกเงินร้านค้าสวัสดิการ จากการสอบปากคำทั้งคู่ จนถึงตอนนี้ยังคงให้การปฏิเสธ และ ไม่ให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่เท่าที่ควร
“เท่าที่พูดคุยเขื่อว่าพฤติกรรมดังกล่าว ไม่ใช่เทคนิคข้อต่อสู้ทางคดี หากแต่การไม่สำนึกในสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไป ส่วนทรัพย์สิน บ้านแม่ในจังหวัดกำแพงเพชร รถ ที่ดินต่าง ๆ เจ้าตัวอ้างว่าได้มาจากเงินรายได้ของตัวเอง ไม่ใช่เงินวัด ทั้งที่ในความเป็นจริงทั้งสองไม่มีอาชีพอะไร ร้านกาแฟที่เปิดก็ไม่มีลูกค้า ธุรกิจค่ายเพลงที่ทำก็ขาดทุน เพราะรายรับต่อเดือนแค่หมื่นสองหมื่น แต่รายจ่ายหลักแสน จึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในการได้มาของทรัพย์สินตามที่กล่าวอ้าง ขนาดกางหลักฐานให้ดูต่อหน้าก็ยังไม่จำนน ลอยหน้าลอยตาปฏิเสธ ต่างกับกรณีทิดแย้ม ที่ยังพอมีจิตสำนึก ดังนั้นยืนยันว่าเราจะบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ดำเนินคดีทุกกรรมที่พบความผิด” รองผบช.ก.กล่าว
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวถึงการแกะรอยติดตามตัวว่า ชุดสืบสวน กองปราบปราม และ ปปป. ลงพื้นที่สืบเสาะหาข้อมูลมาโดยตลอด ช่วงแรกเข้าใจว่าทั้งสองปิดโทรศัพท์เก็บข้าวของหนีไปแล้ว กระทั่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วันมาได้รับข้อมูลจากผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงว่า เจ้าตัวเพิ่งโทรศัพท์มาหาคนงานในวัด จึงเร่งแกะรอยจากข้อมูลโทรศัพท์จนกระทั่งพบข้อมูลที่ทำให้เชื่อว่า ทั้งสองน่าจะยังคงแอบซ่อนตัวอยู่ในค่ายลูกเสือ จนนำมาสู่การตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว
หลังการจับกุมตัว เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลเข้าตรวจค้นภายในห้องพัก พบโทรศัพท์และซิมการ์ด ถูกซ่อนไว้เตรียมรอทำลาย นอกจากนี้ยังได้ตรวจยึดรถและทรัพย์สินอื่น ๆ อีกหลายรายการ ส่วนแนวทางทำงานหลังจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่จะเร่งขยายผลสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ทั้งคู่ถือครอง ในพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อตามอายัดทรัพย์ กลับคืนวัด รวมถึงขยายผลตรวจสอบเรื่องการยักยอกเงินร้านค้าสวัสดิการของวัด เนื่องจากพบว่า เงินรายได้ของร้านค้าสวัสดิการวัด มีอยู่ราว ๆ 1 ล้านบาทต่อเดือน และ เตรียมเข้าแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับ ทิดแย้ม และ นายเอกพจน์ ในความผิดฐานฟอกเงินเพิ่ม
จากข้อมูลสืบสวนพบว่า วิธีการของ นางพชรพร ในการนำเงินของวัดออกไปใช้ส่วนตัว จะใช้กลอุบายอ้างว่าจะนำไปทำโครงการต่าง ๆ อาทิ สวนวิปัสสนา หรือ อุทยานวัดไร่ขิง แต่ที่ดินต่าง ๆ ที่ถูกใช้ทำโครงการเหล่านี้เชื่อว่า ชื่อกรรมสิทธิ์ผู้ครอง ส่วนใหญ่เป็นนางพชรพร อย่างไรก็ตามตอนนี้เรายังมีข้อเคลือบแคลงสงสัยในบางประเด็น โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของ ทิดแย้ม กับ นางพขรพร ว่าเหตุใดทำไม ทิดแย้ม ถึงต้องเชื่อฟังคำสั่งของ นางพชรพร ทุกอย่าง เขามีอิทธิพลต่อทิดแย้มมาก เหมือนกับ นางพชรพร เป็นผู้กุมบังเหียน ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อาจจะต้องมีการเข้าไปสอบปากคำ ทิดแย้ม ในเรือนจำอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าน่าจะกุมความลับ หรือ มีอะไรบางอย่างคล้ายกับกรณีของ น.ส.อรัญญาวรรณ หรือ สีกาเก็น ส่วนประเด็นชู้สาว ตอนนี้ยังไม่พบ และ จากการสอบถามเจ้าตัวยืนยันว่า เป็นเพียงลูกศิษย์เท่านั้น เริ่มรู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2551
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวด้วยว่า สำหรับทิดแย้ม จากข้อมูลทราบว่า เมื่อก่อนครองตัวเป็นพระดี แต่พอมาเจอคนใกล้ชิดเหล่านี้ จึงคล้อยตาม เหมือนลงเรือผิดลำ ส่วนแนวทางดำเนินการในวันพรุ่งนี้ ยังไม่แน่ชัดว่าจะมีลงพื้นที่วัดอีกหรือไม่ ต้องรอหารือกับ ผบก.ปปป. ก่อน แต่หลังเสร็จสิ้นคดีนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง จะลงพื้นที่วัด เพื่อไปกราบไหว้พระ ทำบุญ ฟื้นฟู ศรัทธาวัดให้กลับคืนมา และ เชื่อว่าหลวงพ่อวัดไร่ขิง ยังเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านไม่เสื่อมคลาย เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่เกี่ยวกับวัด