สว.สำรองบุกให้กำลังใจดีเอสไอทำคดีฮั้วเลือกสว.

เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ คณะ สว.สำรอง นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. เดินทางเข้ามอบช่อดอกไม้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอทุกคน ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม ทำงานอย่างเต็มที่ และรวดเร็ว เพื่อทำความจริงในคดีฮั้ว สว. ให้ปรากฏ ฟื้นศรัทธาของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม ภายหลังจากที่คณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน กกต. ได้ออกหนังสือเชิญ 55 สว. รับทราบข้อกล่าวหาตามความผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ภายในวันที่ 19-21 พ.ค.68 จึงทำให้ดีเอสไอได้รับแรงกดดันจากฝ่ายตรงข้าม และยังมีกระบวนการดิสเครดิต ไม่ให้ความร่วมมือในการสอบพยานต่าง ๆ ในทุกรูปแบบ โดยมี นายยู่สิน จินตภากร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และในฐานะโฆษกดีเอสไอ เป็นผู้แทนรับมอบช่อดอกไม้

พล.ต.ท.คำรบ เปิดเผยว่า เรื่องความไว้วางใจการสืบสวนสอบสวนของ กกต. ตนต้องเรียนว่าจากที่คณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ซึ่งมี กกต. และดีเอสไอร่วมเป็นคณะผสมนั้น ตนไว้ใจในการสืบสวนไต่สวน เพราะที่ผ่านมา กกต. อาจมีข้อจำกัดในการแสวงหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อดีเอสไอมาร่วมด้วย มันก็จะมีข้อเท็จจริงที่ดีเอสไอมีอยู่แล้ว ได้นำมาใช้คลี่คลายประเด็นต่าง ๆ ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการออกหนังสือเรียก 55 สว. ชี้แจงถึงความเกี่ยวข้องต่าง ๆ ตนคิดว่าตรงนี้คือความมั่นใจที่เห็นการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ จากข้อมูลต่าง ๆ เชื่อว่ายังมีผู้เกี่ยวข้องอีกกว่า 100 ราย แต่ก็คงจะมีการดำเนินการชัดเจนตามมาในเร็ว ๆ นี้ พร้อมยืนยันว่าเรามีความเชื่อมั่นในคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวนชุดนี้

จากการติดตามข่าวสารสื่อมวลชนที่มีการสั่งการจากหน่วยงานอื่น ๆ ที่แนะนำหรือให้แนวทางแก่หน่วยปฏิบัติของตนในพื้นที่ ในลักษณะที่อิดออด เหนี่ยวรั้ง เฉไฉนั้น ตนเชื่อว่าไม่ใช่แค่พวกเรา แต่สื่อมวลชน พี่น้องประชาชนย่อมมองเห็นถึงข้อความในบันทึกฉบับนั้น คงเห็นเจตนารมณ์ว่าผู้เกี่ยวข้องคงอยากให้การดำเนินการในส่วนนี้เป็นไปอย่างล่าช้า รวมถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ทราบว่ามีแรงกดดันมากมาย ดังนั้น เราออกมาในวันนี้นอกจากขอบคุณก็อยากให้กำลังใจฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้ เพราะอย่างไรความจริงก็คือความจริง จะได้ทำให้บ้านเมืองเข้ารูปเข้ารอย และพี่น้องประชาชนจะได้วางใจในระบบความยุติธรรมของประเทศ

สำหรับการทำงานของคณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและ กกต. รวม 7 ราย โดยเป็นชุดการทำงานที่มีรองเลขาธิการ กกต. เป็นประธานนั้น ซึ่งในเรื่องนี้ เลขาธิการ กกต. ไม่ได้มารับผิดชอบโดยตรง แต่รองเลขาธิการ กกต. ที่มาเป็นหัวหน้าชุด ส่วนนี้เราไว้วางใจการทำงานของท่าน อย่างไรก็ตาม ได้มีประเด็นอื่นที่เราเคยไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการ กกต. ประมาณ 7 ฉบับ ส่วนนี้เองยังมีเรื่องที่ยังไม่เคลียร์ 2-3 เรื่อง โดยเฉพาะการตั้งกรรมการไต่สวน และเรื่องของเลขาธิการ กกต. ที่ได้มีผู้ร้องกรณีกล่าวหาว่าท่านละเลยไม่ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องโพยต่าง ๆ ซึ่งปรากฏว่ามีคำวินิจฉัยออกมาทำนองว่าท่านไม่ผิด ซึ่งตรงนี้เราได้แย้งไปแล้ว แต่เราก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องไปติดตามต่อไป

พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า ทุกวันนี้ตนไม่ทราบว่าท่านเลขาธิการ กกต. มาทำงานทุกวันหรือไม่ เพราะหลังจากที่พวกเราได้ไปยื่นเรื่องและขอพบทางผู้บริหาร เราก็ไม่เคยพบท่าน และท่านก็ไม่เคยสื่อสารหรือให้คำตอบอะไรกับพวกเราเลยอย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาตนดีใจที่ทาง กกต. ได้เชิญพยานบางคนไปให้การโดยบอกว่าจะมีการสอบปากคำในเรื่องจดหมายที่พวกเราได้เปิดผนึกไป ก็คิดว่าน่าจะมีเรื่องของท่านเลขาธิการ กกต. รวมอยู่ด้วย แต่ปรากฏว่าเรื่องที่ไปสอบปากคำคือการพิจารณาเกี่ยวกับคณะกรรมการที่สอบท่านเลขาธิการ กกต. แต่เรื่องที่ เลขาธิการ กกต. ถูกกล่าวหานั้น ยังไม่มีการดำเนินการในเรื่องนี้ ทำให้อาทิตย์หน้าพวกตนก็จะไปติดตามความคืบหน้าต่อไป

สำหรับ ประเด็นเรื่องคดีอาญาที่ดีเอสไอรับผิดชอบดำเนินการเป็นคดีพิเศษ อย่างฐานความผิดอั้งยี่ ฟอกเงิน ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ธุรกรรมทางการเงินกับกลุ่มคนจำนวนมากนั้น คดีอาญาดังกล่าวนี้ ทราบว่าดีเอสไอมีคณะพนักงานสอบสวนรวมทั้งสิ้น 41 ราย โดยมีอธิบดีดีเอสไอ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ตนมองว่าชุดนี้มีแต่ยอดฝีมือทั้งนั้น และคิดว่าจะดำเนินการได้ด้วยดี ซึ่งที่ผ่านมาเห็นทางโฆษกดีเอสไอให้สัมภาษณ์ว่าคณะพนักงานสอบสวนได้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พยานหลักฐานพาณิชย์นิติวิทยาศาสตร์ และการตรวจข้อมูลในโทรศัพท์ต่าง ๆ มากพอสมควรแล้ว จึงเชื่อมั่นในการดำเนินการของคณะพนักงานสอบสวน

พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า สำหรับกรณีหนังสือที่ออกโดยปลัดกระทรวงมหาดไทยฉบับล่าสุดนั้น เท่าที่ตนได้อ่านรายละเอียด สรุปโดยรวมได้ว่าเหมือนเป็นการมากระตุกว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่ไปสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องสมาชิกวุฒิสภาในพื้นที่ เตือนว่าให้พึงระวังในเรื่อง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และให้คำแนะนำกับหน่วยงานในพื้นที่ในลักษณะเหมือนเป็นการอิดออด หลบหลีก หลีกเลี่ยงที่จะอำนวยความสะดวก เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ถึงแม้ว่าทางเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการจะไปสอบสวนตามอำนาจหน้าที่ก็ตาม แต่ตนมองว่ากระบวนการสมัคร สว.ระดับอำเภอ ทาง กกต.ได้ตั้งฝ่ายปกครองเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.ระดับอำเภอ ซึ่งมีส่วนรับผิดชอบในการรับสมัคร และการเลือกสมาชิกวุฒิสภาระดับอำเภอ ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่ทำให้กระบวนการเกี่ยวกับการเลือกที่ไม่เข้าร่องเข้ารอยเริ่มต้นตั้งแต่ระดับอำเภอ เหมือนมีการรู้กันกับกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ บริหารจัดการเรื่องนำคนกลุ่มใดบ้างมาลงสมัคร ทั้งที่ความจริงแล้วตามระบบถือว่าเป็นเรื่องลับ แต่เจ้าหน้าที่ในการรับสมัครในบางพื้นที่ บางจุด กลับมีการแอบส่งข้อมูลว่ากลุ่มนี้ยังขาดคน ดังนั้น ทำให้ผู้มีธิพลหรือมีเครือข่ายในการจัดวางระบบ ทราบว่ากลุ่มไหนมีคนจำนวนน้อยหรือมาก ทำให้บริหารจัดการคนได้

นอกจากนี้ ตนยังมีข้อมูลระดับพื้นที่อำเภอโดยเฉพาะชายแดนภาคใต้ มีส่วนหนึ่งที่ได้เข้าไปกดดัน มีการเข้าไปดำเนินการจนมีผู้สมัครในพื้นที่ได้มีการร้องเรียน ท้ายสุดนายอำเภอท่านนี้กลับได้รับเลื่อนขึ้นเป็นปลัดจังหวัด แต่ในขณะเดียวกันได้มีจังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน ได้มีนายอำเภอท่านหนึ่งที่ทำงานไม่เข้าเป้าในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่ผ่านมา เมื่อเสร็จสิ้นการเลือกแล้ว เขากลับถูกย้ายไปประจำที่กระทรวง ตนมองว่าในเรื่องนี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรทำความจริงให้ปรากฏและกระจ่างมากที่สุด เพราะมันเป็นเรื่องของความมั่นคงและเกี่ยวข้องกับชีวิตคนไทย และทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง ท่านมีอำนาจตามมาตรา 34 สามารถที่จะสั่งการหน่วยงานต่าง ๆ ให้สนับสนุนในภารกิจเรื่องการเลือกสมาชิกวุฒิสภาด้วย เพื่อที่การสืบสวนและไต่สวนจะได้เดินหน้าต่อไป โดยหลังจากนี้ตนจะได้หารือกับ กกต. ในประเด็นดังกล่าวนี้

Message us