
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินงานโครงการสำคัญตามนโยบาย ครั้งที่ 2/2568 เพื่อติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ผลการดำเนินงานตามมาตรการความปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 การเตรียมการซักซ้อมการปฏิบัติกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน (Blackout) ที่อาจส่งผลกระทบต่อการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ และความคืบหน้าโครงการสำคัญด้านการขนส่งทางราง โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ – หนองคาย เพื่อมุ่งหวังเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม สร้างโอกาสของประเทศให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และเพื่อโอกาสของประชาชนที่จะได้ใช้โครงสร้างพื้นฐานอย่างครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่
ทั้งนี้ ภาพรวมการเบิกจ่ายเงินกันเหลื่อมปี 2567 ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 วงเงิน 47,373.50 ล้านบาท ขณะนี้กระทรวงคมนาคมเบิกจ่ายสะสมรวม 40,593.25 ล้านบาท หรือ 85.69% ขณะที่ผลการเบิกจ่ายด้านการลงทุน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 93,000.54 ล้านบาท หรือ 43.82% สำหรับการลงนามในสัญญารายการผูกพันใหม่ 326 รายการ วงเงิน 24,184.65 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม2568 ลงนามในสัญญาแล้ว 67 สัญญา วงเงิน 1,311.37 ล้านบาท ภายหลังการปรับแผนในเดือนมิถุนายน 2568 จะลงนามในสัญญาได้ 79.45% และจะลงนามได้ 100% ภายในเดือนสิงหาคม 2568 ทั้งนี้การเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้นั้นเพื่อใช้สำหรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งได้กำชับทุกหน่วยงานให้ดำเนินการทุกโครงการอย่างเคร่งครัด และต้องมีความโปร่งใสทุกกระบวนการ

นายสุริยะ กล่าวว่า ได้รับทราบสรุปผลการดำเนินการตามแผนการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยรองรับการเดินทางของประชาชน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2568 ระหว่างวันที่ 11 – 17 เมษายน 2568 ซึ่งมีหลายจุดที่มีการเกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก จึงได้สั่งการให้ กรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ให้เข้าสำรวจและตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้การสัญจรมีความปลอดภัยระดับสูงสุดรวมถึงปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น พร้อมกับให้จัดทำแถบชะลอความเร็วบริเวณไหล่ทางหรือบนถนนในพื้นที่เสี่ยงที่เป็นทางตรงและมีระยะทางยาว เพื่อช่วยเตือนผู้ขับขี่รถไม่ให้ตกข้างทาง เพื่อรองรับความผิดพลาดของผู้ขับขี่ เช่น การหลับใน และการขับขี่รถด้วยความเร็วสูง เป็นต้น ปรับปรุงแก้ไขเส้นแบ่งช่องจราจรให้มีความชัดเจน เพื่อให้สามารถเห็นช่องจราจรได้ชัดเจนในเวลากลางคืน และติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัย ป้ายจราจร ไฟฟ้าส่องสว่าง และปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เหมาะสม ส่วนการเตรียมการซักซ้อมการปฏิบัติกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน (Blackout) ที่อาจส่งผลกระทบต่อการให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ได้ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแผนเผชิญเหตุให้ครอบคลุมกรณีเหตุไฟฟ้าดับ โดยให้ทุกฝ่ายเตรียมแผนการรับมือให้มีความพร้อม และเน้นย้ำว่าต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ – หนองคาย ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา ณ วันที่ 25 เมษายน 2568 งานโยธามีผลงานสะสม 43.79% งานระบบราง ระบบไฟฟ้า และเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร มีความคืบหน้า 0.95% ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย อยู่ระหว่างเตรียมเอกสารประกวดราคา

ทั้งนี้ ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมมีโครงการที่อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ได้แก่ โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้ – ป่าตอง โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันออก โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ช่วงบางบัวทอง – บางปะอิน (M9) โครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศ EV การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและขออนุมัติรวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน – ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีสะพานพระราม 6 สถานีบางกรวย – กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน – ศิริราช เข้าด้วยกัน เพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว
นอกจากนั้น ขออนุมัติจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) โดยกำหนดให้นำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบภายในประเทศ 946 คัน ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม เพื่อรองรับสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ – รังสิต และช่วงบางซื่อ – ตลิ่งชัน โครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง ขอความเห็นชอบโครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศใหม่ สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ 184 คัน พร้อมอะไหล่ ขอความเห็นชอบให้ดำเนินการโครงการจัดหารถโดยสารทดแทนรถด่วนพิเศษและรถด่วน 182 คัน พร้อมอะไหล่ และขอความเห็นชอบให้ดำเนินโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า พร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน