
รองศาสตราจารย์ ดร.วราฤทธิ์ พานิชกิจโกศลกุล ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล และอาจารย์ประจำสาขาวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ‘ภาวะหนี้’ เป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีความอ่อนไหวต่อระบบเศรษฐกิจไทย และส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่สะท้อนปัญหาปากท้อง โดยเฉพาะ ‘หนี้นอกระบบ’ ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มนักเล่น ‘การพนัน’ อาทิ ลอตเตอรี หวยใต้ดิน พนันฟุตบอล หรือพนันออนไลน์ ที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวเชื่อมให้สามารถเข้าถึงการพนันรูปแบบต่าง ๆ ได้มากขึ้น โดยมีความเชื่อและพฤติกรรมร่วมของผู้ที่เล่นการพนันว่า ‘ต้องเล่นอีกเพื่อถอนทุนคืน’ และ ‘ยิ่งเล่นมาก กระจายเล่นหลาย ๆ กอง ยิ่งมีโอกาสได้สูง’ ซึ่งที่ผ่านมา คณะวิทย์ฯ มธ. มีงานวิจัยเรื่อง ‘ผลตอบแทนที่คาดจะได้รับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลและสลากเลขท้าย’ ที่สะท้อนผลลัพธ์โอกาสหรือความเป็นไปได้ของการเล่นการพนันรูปแบบต่าง ๆ คือ โอกาสเสียมีมากกว่าได้
ส่วนหนึ่งของงานวิจัยดังกล่าว ได้เปิดเผยถึง โอกาสโชคดีที่จะถูกรางวัลแจ็กพอต หรือเป็น ‘วินเนอร์’ ที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก ยกตัวอย่างการออกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว ซึ่งมีโอกาสเพียง 1 ใน 100 ที่ต้องซื้อเลขเดียวกันต่อเนื่องอย่างน้อย 100 งวด เพื่อให้มีโอกาสถูกรางวัลเฉลี่ย 1 ครั้ง หรือต้องใช้เวลาประมาณ 4 ปี 2 เดือน จึงจะถูกมีโอกาสถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 1 ครั้ง และโอกาสหรือความเป็นไปได้ที่จะถูกรางวัลที่ 1 ซึ่งมีโอกาสเพียง 1 ในล้าน
นอกจากนี้ งานวิจัยดังกล่าวยังได้แสดงผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ เปรียบเทียบระหว่าง ‘หวยบนดิน’ และ ‘ลอตเตอรี’ ว่ามีโอกาสขาดทุนมากน้อยเพียงใด ซึ่งพบว่าโดยเฉลี่ยจะมีโอกาสขาดทุนในทุกเกม อยู่ที่ประมาณ 35-70% ของเกมที่เล่น ซึ่งกรณีที่ซื้อ ‘ลอตเตอรี’ มีเปอร์เซนต์ขาดทุนประมาณ 40% ของทุกเกม หากเลขท้าย 2 ตัว มีเปอร์เซนต์ขาดทุนประมาณ 35% และประเภทที่มีเปอร์เซนต์ขาดทุนมากที่สุด คือ การเล่น 3 ตัวโต๊ด ที่มีเปอร์เซนต์ขาดทุนสูงถึง 70% ขณะที่ ผู้เล่นที่ใช้เทคนิคการซื้อกวาดซื้อกระจายเพื่อเพิ่มโอกาส ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสถูกรางวัลมากขึ้นนั้น เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องเพียงบางส่วน เพราะเมื่อพิจารณาจากจำนวนการเล่น กับเงินที่ต้องจ่ายก็มากขึ้นตามไปด้วย เมื่อเทียบกับเงินรางวัลที่มีโอกาสได้ จึงไม่ใช้วิธีการที่คุ้มค่าตามความเชื่อของผู้เล่น
สิ่งที่น่าเป็นห่วงจากสถานการณ์หนี้คนไทยที่มีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการพนันในปัจจุบัน คือ เทคโนโลยีที่เพิ่มความสะดวกสบายในการเข้าถึงการซื้อสลากออนไลน์ การเล่นเกมพนันต่าง ๆ ทั้งจากเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชัน ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงด้วยกระบวนที่เข้าใจง่าย มีวิธีการสื่อสารที่ดึงดูด และบางแห่งมีวงเงินพร้อมใช้สำหรับกู้ยืมโดยใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียว ที่เพิ่มปัจจัยการเป็นหนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในจำนวนนี้เชื่อมโยงกับปัญหา ‘หนี้นอกระบบ’ ซึ่งยิ่งทำให้วงจรการเป็นหนี้ขยายวงกว้างและยาวนานออกไปอีก อีกทั้งสถานการณ์ที่เปราะบางกับกลุ่ม ‘เยาวชน’ ที่อาจเข้ามาสู่วงจรการพนันและการเป็นหนี้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
“หากมองด้วยเงื่อนไขสิทธิส่วนบุคคล อาจทำให้เรื่องของการเล่นการพนัน เป็นสิ่งไม่สามารถสั่งห้ามกันได้โดยตรง ซึ่งหากมีการนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโอกาสหรือความเป็นไปได้ในการถูกรางวัลหรือการเป็นผู้ชนะในเกมพนันอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ประชาชนเกิดการรับรู้และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเล่น และผลเสียจากการที่ไม่สามารถควบคุมความถี่และจำนวนเงินในการเล่นจนเกิดเป็น ‘หนี้สินจากการพนัน’ ในที่สุด โดย คณะวิทย์ฯ มธ. มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าควรลดความถี่ในการโปรโมทการเข้าถึงการพนันทุกรูปแบบ แม้ว่าจะเป็นการออกรางวัลที่ถูกกฎหมายก็ตาม เนื่องจากหากมองพฤติกรรมของผู้เล่นในปัจจุบัน ที่มีกระแสความนิยมในสังคมไทยอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุจำเป็นต้องมีการโปรโมทเพื่อกระตุ้นความสนใจและสร้างภาพจำว่า การพนันหรือการวัดดวงเป็นเรื่องปกติของสังคม โดยเฉพาะการนำเสนอข่าวบุคคลถูกรางวัลใหญ่ของแต่ละงวด” รองศาสตราจารย์ ดร.วราฤทธิ์ กล่าว
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ ศึกษาสถานการณ์และผลกระทบการพนันในประเทศไทย ปี 2564 พบว่า คนไทยเล่นการพนันร้อยละ 59.6 หรือประมาณ 32.33 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 1.9 ล้านคนเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 จำนวนนี้เป็นผู้ที่เล่นพนันครั้งแรกในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา หรือเรียกว่า “นักพนันหน้าใหม่” เกือบ 8 แสนคน ที่น่ากังวลคือ ร้อยละ 29.5 ของประชากรเด็ก อายุ 15-18 ปี ที่เล่นการพนัน มีวงเงินหมุนเวียนรวม 29,155 ล้านบาท และร้อยละ 54.6 ของเยาวชน อายุ 19-25 ปี ที่เล่นการพนัน มีวงเงินหมุนเวียนรวม 93,321 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีแนวโน้มผู้เล่นที่เพิ่มขึ้น และวงเงินพนันหมุนเวียนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยการพนันที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ‘สลากกินแบ่งรัฐบาล’ และ ‘หวยใต้ดิน’
ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) เมื่อเดือนมีนาคม 2565 พบว่า คนไทยเป็นหนี้สูงถึง 37% หรือราว 1 ใน 3 ของประชากรไทย หรือราว 25 ล้านคน ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยประมาณ 57% ของผู้ที่มีหนี้ จะมีหนี้สินตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป และกลุ่มผู้ที่มีหนี้ตั้งแต่ 1,000,000 บาทขึ้นไป มีถึง 14% โดยสามารถแยกหนี้ตามประเภทต่าง ๆ สูงสุด 3 อันดับแรก คือ
1.สินเชื่อส่วนบุคคล 39%
2.บัตรเครดิต 29%
3.การเกษตร 12%
สำหรับสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทย มีรายงานว่ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 2564 ที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ทำให้หนี้ครัวเรือนไทย พุ่งสูงถึง 90.1% ก่อนจะปรับลดลงมาในไตรมาส 3 ปี 2565 ที่ระดับ 86.8% โดยมีสาเหตุสำคัญ 8 ด้าน ได้แก่
1.เป็นหนี้เร็วตั้งแต่เริ่มวัยทำงาน
2.เป็นหนี้เกินตัว ทำให้รายได้เกินกว่าครึ่งต้องเอาไปจ่ายคืนหนี้
3.เป็นหนี้โดยไม่ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนหรือถูกต้อง
4.เป็นหนี้เพราะมีเหตุจำเป็น
5.เป็นหนี้นาน
6.เป็นหนี้เสีย
7.เป็นหนี้ไม่จบไม่สิ้น
- เป็นหนี้นอกระบบ โดยพบว่า 42% ของกลุ่มตัวอย่างกว่า 4,600 ครัวเรือนจากทุกภูมิภาคของไทย มีหนี้นอกระบบเฉลี่ยรายหัวอยู่ที่ คนละ 54,300 บาท ซึ่ง ‘การพนัน’ เป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งของการเป็นหนี้นอกระบบ