
ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ลุ่มต่ำระหว่างลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน จุดเริ่มต้นของปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากข้อจำกัดของการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝนที่ตกบริเวณลุ่มน้ำยม เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำเดียวที่ยังไม่มีแหล่งเก็บกักน้ำขนาดใหญ่
ซึ่งลักษณะทางกายภาพของแม่น้ำยมจากจังหวัดพะเยาผ่านจังหวัดแพร่ถึงอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ลำน้ำค่อนข้างลาดชันและกว้าง ทำให้มีอัตราการระบายสูงสุดประมาณ 2,290 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่พอมาถึงช่วงอำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย จนถึงเขตจังหวัดพิษณุโลกลำน้ำค่อนข้างราบและแคบ ทำให้ศักยภาพในการระบายน้ำลดลง ที่อำเภอบางระกำ เหลือเพียงประมาณ 208 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

ส่งผลให้ช่วงฤดูน้ำหลากตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงตุลาคม ตัวเมืองจังหวัดสุโขทัยซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่นาข้าวที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวใน จังหวัดพิษณุโลก มีความเสี่ยงประสบอุทกภัยเป็นประจำ โดยเฉพาะพื้นที่บางระกำซึ่งเป็นพื้นที่แอ่งกระทะ การระบายน้ำลดลง เกิดการสะสมของน้ำ ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำในเขตบางระกำประสบปัญหาน้ำท่วม
หนึ่งในแนวทางการบริหารจัดการน้ำที่กรมชลประทาน นำมาใช้คือ ‘โครงการบางระกำโมเดล’ เป็นรูปแบบการบริหารจัดการน้ำด้วยความร่วมมือแบบบูรณาการของทุกภาคส่วนในรูปแบบประชารัฐ โดยให้พื้นที่บางระกำนำร่องจัดทำเป็นพื้นที่ทุ่งหน่วงน้ำ พร้อมกับบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับพื้นที่เพาะปลูก และเหมาะสมกับวิถีชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำด้วยการปรับปฏิทินการเพาะปลูกของเกษตรกร ทำการปลูกข้าวนาปีให้เร็วขึ้น ซึ่งกรมชลประทานได้วางแผนการส่งน้ำสำหรับการเพาะปลูกทั้งข้าวนาปีและข้าวนาปรังได้เต็มพื้นที่

จากเดิมที่ปลูกข้าวในเดือนพฤษภาคมจะปรับปฏิทินเลื่อนเวลาการปลูกเร็วในเดือนเมษายน และเก็บเกี่ยวผลผลิตภายในกลางเดือนสิงหาคมก่อนฤดูน้ำหลาก เพื่อไม่ให้พื้นที่ดังกล่าวได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในเขตพื้นที่เพาะปลูก ขณะเดียวกันหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว จะใช้พื้นที่เป็นแก้มลิงชั่วคราวเพื่อรองรับการระบายน้ำเข้าพื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำ
จากการตัดยอดน้ำส่วนเกินของแม่น้ำยมบรรเทาอุทกภัยพื้นที่เศษฐกิจจังหวัดสุโขทัย รวมถึงชะลอการระบายน้ำไม่ให้มีผลกระทบกับพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง และยังมีการบูรณาการร่วมกับกรมประมงเพื่อปล่อยพันธุ์ปลาให้เกษตรกรมีอาชีพเสริมในการทำอาชีพประมงและการแปรรูปผลผลิตปลา เพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร

สิ่งที่ได้คือผลผลิตของชาวบ้านก็ไม่เกิดความเสียหาย ขณะเดียวกันยังสามารถลดปริมาณน้ำต้นทุนสำหรับการปลูกข้าวนาปรังได้อีกทาง เนื่องจากน้ำที่หน่วงไว้เราไม่ได้ระบายออกทีเดียว ยังเหลือไว้ประมาณ 30% เพื่อเตรียมแปลงปลูกข้าวในฤดูแล้งต่อไป