ญาติเหยื่อจรวดกัมพูชาถือรูปขอความเป็นธรรมผ่านทูตต่างชาติ

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมสารนิเทศ กระทรวงมหาดไทย กองทัพบก และกรมประชาสัมพันธ์ นำโดย นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะ ได้นำเอกอัครราชทูตและอุปทูตจาก 11 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐ จีน บรูไน ญี่ปุ่น เมียนมา มาเลเซีย ลาว อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์

นอกจากนั้น มีคณะทูตทหารจาก 23 ประเทศ ได้แก่ จีน มาเลเซีย ปากีสถาน เกาหลีใต้ รัสเซีย สิงคโปร์ เยอรมนี อินเดีย ลาว แคนาดา ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เวียดนาม อิตาลี เนเธอร์แลนด์ อินโดนีเซีย สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ บรูไน ตุรกี และสหราชอาณาจักรพร้อมสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศจำนวนทั้งสิ้น 150 คน ลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปเหตุการณ์ ตรวจสอบ และสังเกตการณ์ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพลเรือนไทยจากการใช้อาวุธระยะไกลของฝ่ายกัมพูชา อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์สู้รบระหว่างกองทัพไทย-กัมพูชา อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักกฎหมายสากลและหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

จุดแรกที่ลงพื้นที่ในวันนี้ ที่บริเวณปั๊ม ปตท.บ้านผือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เป็นพื้นที่ที่ถูกระเบิดทำลายร้านสะดวกซื้อในบริเวณปั๊มน้ำมัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 8 ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก สภาพโดยรวมของร้านสะดวกซื้อถูกไฟไหม้เสียหาย 100% แต่สิ่งที่น่าสลดใจในพื้นที่คือครอบครัวที่สูญเสียชีวิตพร้อมกันถึง 3 คน หน่วยกู้ภัยได้พบร่าง ผู้เสียชีวิตนอนกอดลูกวัยแปดขวบอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อ สภาพไฟไหม้เกรียม

วันนี้ญาติของผู้เสียชีวิตทั้งหมดได้นำรูปของผู้เสียชีวิตมายืนที่บริเวณด้านหน้าร้านสะดวกซื้อที่ได้รับความเสียหาย เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตผ่านเอกอัครราชทูตและสื่อมวลชนต่างประเทศ พร้อมทั้งได้เล่าเหตุการณ์ในวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมาให้กับคณะที่ลงพื้นที่ได้ฟังอย่างละเอียด ประจานการกระทำของทหารกัมพูชาที่ไร้มนุษยธรรม

นอกจากนี้ เมื่อช่วงเช้าก่อนการลงพื้นที่จริงได้มีการชี้แจงเพิ่มเติมใน 2 ประเด็นสำคัญ เพื่อให้คณะได้รับทราบข้อเท็จจริงในพื้นที่ ดังนี้

ประเด็นที่ 1: กรณีผู้ถูกควบคุมตัว

จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ได้ยกระดับเป็นการใช้กำลังทางทหาร ส่งผลให้ฝ่ายไทยสามารถควบคุมตัวทหารกัมพูชาได้ จำนวน 20 นาย มีสถานะเป็น “ผู้ถูกควบคุมตัว” ที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา และกฎหมายภายในของประเทศไทย ซึ่งกองทัพบกยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด

ในวันนี้ฝ่ายไทยจะดำเนินการส่งตัวผู้ถูกควบคุมตัว จำนวน 2 นาย คืนให้ฝ่ายกัมพูชา ผ่านจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จังหวัดสุรินทร์ เวลา 10.30 น. โดยหนึ่งนายได้รับบาดเจ็บ และอีกหนึ่งนายป่วยทางจิตเวช การส่งตัวผู้ถูกควบคุมตัวครั้งนี้ดำเนินการตามหลักมนุษยธรรมภายใต้อนุสัญญาเจนีวาและกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ฝ่ายไทยจะดูแลผู้ถูกควบคุมตัวที่เหลืออย่างดีที่สุดตามหลักสิทธิมนุษยชน

ประเด็นที่ 2: กรณีการนำคณะทูตทหารกัมพูชาไปยังพื้นที่ช่องอานม้าเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568

ฝ่ายกัมพูชาได้นำคณะทูตทหารประจำประเทศกัมพูชาเดินทางไปยังพื้นที่บริเวณช่องอานม้าและอนุสาวรีย์ตาอม แม้ว่าสถานการณ์ในพื้นที่ดังกล่าวจะยังไม่ปลอดภัยสำหรับการเดินทางของคณะนักการทูต แต่กองทัพบกขอยืนยันว่า พื้นที่ช่องอานม้าเป็นดินแดนอธิปไตยของไทย ซึ่งฝ่ายกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างและนำประชาชนเข้ามาอยู่อาศัย อันเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงและละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้ยื่นหนังสือประท้วงการกระทำดังกล่าวตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2000 หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายกัมพูชา และยังคงมีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างอนุสาวรีย์ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างข้อได้เปรียบในการอ้างสิทธิเหนือดินแดนอธิปไตยของไทย