
เมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่รัฐสภา พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน เข้ายื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ฉบับพรรคประชาชน ต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า วันนี้พรรคประชาชนยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 เกี่ยวกับกลไกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแรกเพื่อเดินหน้าไปสู่การทำประชามติรอบแรก ที่จะรวมคำถามครั้งที่ 1 และคำถามครั้งที่ 2 ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไว้ด้วยกัน โดยจัดประชามติรอบแรกพร้อมกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลังรัฐบาลยุบสภาภายใน 4 เดือนต่อจากนี้
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า เมื่อปลายปี 2567 พรรคประชาชนเคยยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 ที่เสนอให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด 200 คน มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่ายตีความว่าเป็นการปิดประตูสู่การมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง

พรรคประชาชน ยืนยันว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวมีปัญหาทั้งในเชิงกระบวนการที่เป็นการตอบเกินคำถาม และในเชิงเนื้อหาสาระที่ตนมองว่าขัดกับหลักการว่าอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน อย่างไรก็ตาม เพื่อมีข้อเสนอที่จะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย พรรคประชาชนได้จัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 ฉบับใหม่ เพื่อเสนอกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ยังคงความยึดโยงกับประชาชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยไม่เสี่ยงต่อการขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง”
นายณัฐพงษ์ กล่าวถึงเนื้อหาในภาพรวมของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ สอดคล้องกับรายละเอียดที่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะและรับฟังความเห็นจากประชาชนเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ดังนี้ 1. พรรคประชาชนเสนอให้มี 2 กลไกคู่ขนาน เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
กลไกแรก คือคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จำนวน 35 คน ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จำนวน 70 คน โดยใช้ระบบบัญชีรายชื่อที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นทีมและใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง จากนั้นรัฐสภาคัดเลือก 35 คน แบ่งสัดส่วนตาม สส. สว. และพรรคการเมือง เท่ากับว่าหากสมาชิกรัฐสภามีทั้งหมด 700 คน สมาชิกรัฐสภา 20 คน มีสิทธิรวมตัวกันเพื่อเสนอชื่อ กมธ. ยกร่าง 1 คน

กลไกที่สอง คือสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 100 คน ทำหน้าที่รับฟังความเห็นประชาชน และสะท้อนความเห็นต่อ กมธ.ยกร่างฯ โดยทั้ง 100 คน มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ใช้ระบบแบ่งเขต ที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นรายบุคคล และใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง จังหวัดละ 1-5 คน ตามจำนวนประชากร
2. พรรคประชาชนกำหนดเวลาในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไว้ที่ 270 วัน หรือ 9 เดือน โดยให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และกำหนดให้ทั้ง 2 กลไกสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อได้ โดยไม่ถูกกระทบจากการยุบสภาหรือจากการที่สภาหมดวาระ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำงานและความต่อเนื่องของกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
3. เมื่อยกร่างเสร็จแล้ว ให้นำเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อรัฐสภา หากรัฐสภาเห็นชอบ ให้นำร่างดังกล่าวไปทำประชามติ เพื่อสอบถามประชาชนว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ แต่หากรัฐสภาไม่เห็นชอบ ให้ร่างดังกล่าวเป็นอันตกไป โดยหากจะมีการจัดทำฉบับใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ ให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบให้มีการเลือกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ชุดใหม่ขึ้นมาตามกระบวนการเดิม
4. เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน พรรคประชาชนกำหนดให้

4.1การทำงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ไม่จำกัดอยู่แค่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ให้ครอบคลุมถึงการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ที่ถูกกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย โดยอาจเริ่มต้นทันทีที่ประชาชนลงประชามติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
และ 4.2 บุคคลที่ทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และ สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่น สส. สว. รัฐมนตรี ผู้บริหารหรือสมาชิกสภาท้องถิ่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ในช่วงแรกหลังเสร็จภารกิจ
นายณัฐพงษ์ ระบุอีกว่า พรรคประชาชนมีข้อเรียกร้องต่อฝ่ายต่างๆ ดังนี้ 1. ขอให้พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 เข้าสู่สภาภายในสัปดาห์นี้ ตามที่ได้ประกาศไว้ และระบุรายละเอียดในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ที่กำหนดให้มีกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เปิดกว้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด ตราบเท่าที่ไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
2. ขอให้ สส. และ สว. ทุกคน พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1
3. ขอให้ประธานรัฐสภา เปิดประชุมเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ทุกฉบับโดยเร็ว
และ 4. ขอให้นายกรัฐมนตรี เดินสายทำความเข้าใจกับ สส. และ สว. เพื่อผลักดันให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15/1 สำเร็จตามเป้าหมายของ MOA
สำหรับไทม์ไลน์หลังจากนี้ ตนหวังว่าภายในสัปดาห์นี้ ทั้ง 3 พรรคการเมือง คือพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ของตนเอง จากนั้นต้นเดือนตุลาคม จะเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 1 ถัดไปเดือนตุลาคมถึงธันวาคม เป็นการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ เดือนธันวาคมรัฐสภาจะพิจารณาวาระ 2 และวาระ 3 จากนั้นเดือนมกราคม 2569 กำหนดวันประชามติพร้อมการเลือกตั้ง และยุบสภาภายในสิ้นเดือนมกราคม 2569 ตามเงื่อนไขที่ระบุใน MOA
เมื่อถามข้อกังวลเรื่องงบประมาณ นายณัฐพงษ์ ยืนยันว่า ภายใต้กรอบงบประมาณที่มีอยู่สามารถที่จะบริหารจัดการได้ ให้เดินหน้าสู่การที่จะได้ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงการจัดทำประชามติในอนาคต
ส่วนจะต้องประเมินให้กับรัฐบาล หรือมีการส่งข้อเสนอเพิ่มไปเลยหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ย้ำว่า ข้อเสนอที่เราเสนอให้มีการจัดทำประชามติรอบที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งไว้ในเหตุผลนั้น ก็เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ อีกอย่างหนึ่งเพื่อให้เกิดการรณรงค์กับประชาชนให้เกิดความตื่นตัวไปพร้อมพร้อมกับการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้น ขอยืนยันอีกหนึ่งครั้งว่า เรื่องของงบประมาณ ไม่น่าเป็นอุปสรรค ที่เป็นสาระสำคัญแต่อย่างใด และก็เชื่อว่าทางฝ่ายบริหารสามารถบริหารจัดการได้
อย่างไรก็ดี เท่าที่ทราบในขณะนี้ ทุกพรรคการเมืองเอง ก็ยังเดินหน้าในส่วนนี้อยู่ ส่วนในรายละเอียดของแต่ละพรรค ก็มีการพูดคุยกัน ทั้งผ่านเวทีกรรมาธิการ และทางการหารือกันนอกรอบ ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
นายพริษฐ์ กล่าวเสริมว่า การพูดคุยกับทั้ง 2 พรรคนั้น สำหรับพรรคเพื่อไทย ตนคิดว่าก็เป็นไปตามที่ปรากฏต่อสาธารณะ ส่วนพรรคภูมิใจไทย ก็อย่างที่สื่อมวลชนทราบ ว่าในสัปดาห์ที่แล้วตัวแทนพรรคภูมิใจไทยไม่ได้มาร่วมประชุมคณะกรรมาธิการ เนื่องจากติดภารกิจ แต่ได้ทราบอย่างไม่เป็นทางการนอกรอบจากนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าคณะทำงานว่า มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมไว้แล้ว แล้วก็จะยื่นในสัปดาห์นี้ ฉะนั้น ขอฝากสื่อมวลชนด้วย
นายพริษฐ์ ยังย้ำถึงข้อเรียกร้องของพรรคประชาชนต่อ 2 พรรคการเมืองว่า มี 2 ส่วน คือส่วนที่หนึ่ง คือการยื่นร่างแก้ไขภายในสัปดาห์นี้ และส่วนที่ 2 ในส่วนของเนื้อหาสำหรับยกร่างนั้น เราอยากจะให้ออกแบบจากกระบวนการในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด จริงอยู่ว่ารายละเอียดสามารถไปถกเถียงในคณะกรรมาธิการวาระหนึ่งได้
แต่ตนคิดว่า ถ้าเรายึดเจตนารมณ์ตรงนี้ให้มั่นว่า ถึงแม้ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง อาจจะว่าขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แต่เรามองว่าเจตนาคือการพยายามใช้ประชาชนมีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด ก็อยากจะให้ใช้หลักตรงนั้นเป็นหลักสำคัญในการทำ
สําหรับการหารือเรื่องเสียง สว.นั้น นายพริษฐ์ มองว่า ตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่เราเลือกสมาชิกทุกคนมาทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนราษฎร เราพยายามอย่างมากในการพูดคุยกับทุกฝ่าย เพื่อทำให้การแก้ไขและการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สำเร็จ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ในตอนที่เรามีการยื่นร่างเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา ตนเองก็ไปเดินสายพูดคุยกับทาง สว.หลายกลุ่มมาก เพื่อทำความเข้าใจ โดยในมุมของพรรคประชาชนเราทำแบบนั้นต่ออยู่แล้ว เราพร้อมพูดคุยกันให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เรื่องนี้สำเร็จ
สำหรับบทบาทของทางนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร และในฐานะหัวหน้าพรรคนั้น ในเมื่อเรื่องการจัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดนี้แล้วตามเงื่อนไขของ MOA เราก็อยากจะเห็นนายกรัฐมนตรีแสดงบทบาทความเป็นผู้นำในการพูดคุยกับ สส.และ สว. เพื่อทำความเข้าใจ และทำให้วาระนี้ประสบความสำเร็จได้ภายใน 4 เดือนข้างหน้า
เมื่อถามถึงท่าทีของนายกรัฐมนตรีและพรรคภูมิใจไทยที่ดูเหมือนจะไม่ตอบสนอง นายพริษฐ์ ระบุว่า ณ เวลานี้ เรายังไม่เห็นท่าทีที่ชัดเจน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราใช้เวทีสื่อมวลชนในการเรียกร้อง และจะใช้เวทีสภาทุกกลไกในการเรียกร้องเช่นกัน อย่างไรก็ตามในการอภิปรายในวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาล ถ้าเรายังไม่เห็นท่าทีที่มีความจริงจังนี้ในการเดินสายพูดคุยกับทั้ง สส. และ สว. เราก็คงต้องมีการนำประเด็นนี้มาอภิปรายแสดงความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง