
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX 2025) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) เขตคลองเตย กรุงเทพฯ โดยมี นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ รองหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม
นายอนุทิน กล่าวว่า เราอยู่ในยุคที่ได้ยินคำว่า Sustanability (ความยั่งยืนบ่อยครั้ง) และองค์การสหประชาชาติ ก็ใช้คำว่า SDGs เป็นตัวผลักดันกติกาใหม่ของโลก ซึ่งแท้จริงแล้ว Sustanability เป็นคำที่จะอยู่ในอุดมคติของเราที่ต้องมอง คิด และทำให้เกิดความยั่งยืน เฉกเช่นนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มีทั้ง Quick Wins เร่งด่วนในช่วง 4 เดือน และนโยบายในระยะยาวที่ต้องวางรากฐานเพื่อให้เกิด Sustainable ให้รัฐบาลต่อไปสามารถนำไปต่อยอดและดำเนินการต่อไป เฉกเช่นงาน SX2025 ที่ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจและความร่วมแรงร่วมใจในการสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในเรื่องการค้าและอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งประเทศไทยของเรากำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เพราะโลกกำลังเผชิญความไม่แน่นอนทั้งจากภัยสงคราม ภัยการค้า การแข่งขันทางเศรษฐกิจ และภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สิ่งสำคัญ คือ เราจะต้องพัฒนาประเทศไทยของเราอย่างยั่งยืน ในลักษณะที่ “ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอด” เพราะคำว่ายั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่เรามาทำโลกสีเขียว ทำแค่เรื่องสิ่งแวดล้อม มันยังไม่ครบทุกมิติ คำว่า “ความยั่งยืน” คือการทำให้ 3 สิ่งนี้ก้าวไปด้วยกันอย่างมั่นคง มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ทั้งเศรษฐกิจมั่นคง สังคมมั่นคง และสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรและมีความมั่นคง ด้วยการหาโอกาส สร้างงาน สร้างรายได้ ทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ดี มีสุข มีรายได้ มีเงินใช้ มีเงินออม และรักษาสังคม รักษาโลกให้ลูกหลานของเราอยู่ได้อย่างมีสุขภาวะที่ดีต่อไป ทำให้คนเรียนรู้ที่จะดูแลตนเองโดยลดการพึ่งพาผู้อื่น
ทุกวันนี้มีหลากหลายมิติที่ทำให้สังคมไทยเราต้อง Adaptation หรือ “ปรับเปลี่ยน” เพื่อให้เรามีความอยู่รอดอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) เพราะถ้าเรามีอายุขัยที่เพิ่มมากขึ้นถึง 90 ปี ก็ต้องมีระบบหรือแนวทางในการรองรับ อาทิ การขยายเวลาเกษียณอายุราชการมากกว่า 60 ปี และขณะเดียวกัน รัฐบาลได้เตรียมการดูแลด้านสุขภาพและสุขภาวะของพี่น้องประชาชน ตามหลัก Health Sercurity ด้วยการมีเงินทุนเพื่อดูแลสุขภาพคนไทยจากการส่งเสริมสนับสนุนให้ภาคเอกชนได้ประกอบธุรกิจอย่างสะดวก ส่งเสริมทุกวิถีทางให้มีรายได้เข้าประเทศให้มากที่สุด ทั้งภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต
สิ่งเหล่านี้เป็นทางรอดไม่ใช่ทางเลือก จึงเป็นเหตุที่เราจะต้องมีการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เหมาะสมกับสภาพสังคมและสภาพประเทศของเรา ทั้งนี้ เราต้องมองไม่มองแค่ในประเทศ แต่เราต้องมองในระดับภูมิภาค คืออาเซียน ซึ่งเราเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคอาเซียนที่เป็นไข่แดงอยู่ตรงกลาง จุดที่สามารถเดินทางไปภาคภูมิต่าง ๆ ได้โดยสะดวก และเราเป็นประเทศที่มีภูเขา ทะเล มีทางออกทั้งทางบก ทางน้ำ เชื่อมถนนสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก หรือ EWEC (East-West Economic Corridor) ดังนั้นเราต้องทำให้ประเทศไทยของเราไม่ใช่แค่ทางผ่าน แต่เราต้องเป็นประเทศที่ผู้ที่ผ่านไปมาต้องแวะ ต้องพัก ต้องจับจ่ายใช้สอย ด้วยต้นทุนทางด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคสินค้าและบริการ โดยมีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนภาคเอกชนและกำหนดมาตรการเพื่อให้เกิดการอำนวยความสะดวกในด้านการค้าและการลงทุน ทำให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาและต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่เป็นเสือนอนกินที่ไม่มีการพัฒนา เราจะต้องปรับตัวให้มีความเป็นสากล ความเป็นธรรมาภิบาลเพิ่มมากขึ้นด้วยปัจจัยต่าง ๆ ทั้งสังคมภายในและภายนอกประเทศ อาทิ ด้านสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ ผลกระทบจากปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ Geopolitics ต่าง ๆ
เราจึงต้อง Adaptation คือ การปรับเปลี่ยนโลก สร้างโอกาสทั้งหลายเพื่อเศรษฐกิจ เพื่อโอกาส เพื่ออุตสาหกรรม เพื่อปากท้องของประชาชน และขณะเดียวกัน ในด้านการปรับตัว เรามีการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนตลอดจนถึงทุกภาคส่วนได้เห็นความสำคัญของ “สังคมสีเขียว” พลังงานสะอาด การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งรัฐบาลมุ่งที่จะส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้ง Solar ชุมชน Solar มวลชน เช่น การรวมกลุ่มเป็นเศรษฐกิจชุมชนจากการขายขยะ ขายคาร์บอนเครดิต ขายปุ๋ยหมัก แปลงผัก โคก หนอง นา ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ รวมกันเป็นกลุ่มเศรษฐกิจชุมชน
นอกจากนี้ เราจะใช้โอกาสนี้ก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ด้วยอุตสาหกรรมด้านสุขภาพ Health Rehabilitation (การฟื้นฟูสุขภาพ) ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยเป็น Choice เดียวของคนต่างชาติที่จะเข้ามาฟื้นฟูสุขภาพและรักษาพยาบาลในประเทศไทย เฉกเช่นโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลของรัฐที่มีลักษณะพรีเมี่ยมคลินิก สำหรับผู้ที่ประสงค์จะได้รับการดูแลแบบพรีเมี่ยม ซึ่งเงินทองเหล่านั้นถูกใช้เป็นเงินกองทุนและเงินบำรุงไปยังโรงพยาบาลศิริราชที่เป็นโรงพยาบาลดูแลพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วไป ซึ่งเป็นโมเดลที่ดีมาก และโรงพยาบาลของรัฐอื่น ๆ ก็สามารถทำได้ อันจะทำให้แม้เป็นป่วยก็ยังมีความสุข เพราะเงินที่เราจ่ายให้โรงพยาบาลพรีเมี่ยมได้ทำบุญด้วย ส่วนที่เป็นกำไรก็จะถูกนำไปมอบให้กับโรงพยาบาลคู่ขนานที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชน แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าการที่เราต้องดูแลรักษาสุขภาพของเราให้ดีที่สุด
นายอนุทิน กล่าวว่า หากประเทศไทยแข็งแรง สังคมดี เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น ในตอนนี้เราอาจจะกำลังชะงักงันในเรื่องการเมือง แต่ถ้าเราดูกันจริง ๆ ความสามัคคีของคนในชาติจะทำให้ภาคการเมืองมีความสามัคคีไม่ขัดแย้งกัน ด้วยเพราะเราจะเป็นผู้นำนักการเมือง ไม่ใช่การเมืองมานำเรา และรัฐบาลมุ่งมั่นในการส่งเสริมทั้งภาคการค้าและอุตสาหกรรมในทุกมิติ โดยผู้ประกอบการไทยต้องเชื่อว่า ความยั่งยืนจะเป็นโอกาส ทั้งโอกาสที่จะเปิดตลาดใหม่ โอกาสที่จะเพิ่มรายได้ และเป็นการสร้างโอกาสให้เรามีสิ่งแวดล้อม มีสุขภาพอนามัยที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพเพื่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติของเราให้จงได้