
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เปิดเผยว่า ตนได้ยื่นกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีเรื่อง ความโปร่งใสและผลประโยชน์ในบันทึกความเข้าใจเรื่องแร่หายากระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐอเมริกา ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยขอให้ตอบข้อสงสัยในราชกิจจานุเบกษา สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 รัฐบาลไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเรื่อง “ความร่วมมือเพื่อกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่หายากและส่งเสริมการลงทุน” ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยนายกรัฐมนตรี กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
สำหรับ บันทึกฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการสํารวจ การผลิต และการลงทุนในแร่หายากและแร่สำคัญต่าง ๆ ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าภายในประเทศ และสร้างตลาดที่เปิดกว้าง โปร่งใส และมีความปลอดภัยสำหรับห่วงโซ่อุปทานโดยผู้เข้าร่วมจะ “แบ่งบันข้อมูลและความเชี่ยวชาญ” ช่วยไทยประเมินทรัพยากร และคาดหวังที่จะมีสิทธิลงทุนเป็นรายแรก” ในสินทรัพย์แร่หายากที่อาจมีการขายในไทย พร้อมทั้งมีเงื่อนไขให้ ถ่ายทอคเทคโนโลยีและพัฒนากําลังคน
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ถึงแม้สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯจะชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า MoU ฉบับนี้ไม่ได้มีผลผูกพันทางกฎหมายและไม่กระทบต่ออธิปไตยเหนือทรัพยากรธรรมชาติของแต่ละประเทศแต่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มการลงทนในอุตสาหกรรมแปรรูปของไทยและยกระดับความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานแต่การลงนามเกิดขึ้นโดยไม่ได้แจ้งต่อสาธารณชนล่วงหน้า ทําให้ฝ่ายค้านและภาคประชาชนบางส่วนตั้งคำถามถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการยอมจำนนต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ ขณะที่สหรัฐฯย้ำว่า MoU นี้สร้างบนความร่วมมือที่มีมายาวนาน และจะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ เทคนิค และการร่วมทุนเพื่อแข่งขันกับประเทศที่ใช้มาตรการการค้าที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ MoU ยังเปิดโอกาลให้ทั้งสองประเทศแลกเปลี่ยนข้อมูลโครงการแร่สำคัญและพิจารณาโครงการที่มีศักยภาพก่อนผู้ลงทุนรายอื่น
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ตนขอถามนายกรัฐมนตรีว่า 1.ขั้นตอนการตัดสินใจและความโปร่งใส การลงนาม MoU ดังกล่าวผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร หรือคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เหตุใดรัฐบาลจึงไม่เผยแพร่รายละเอียดต่อสาธารณชนก่อนลงนาม และรัฐบาลจะเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของ MoU ให้รัฐสภาและประชาชนรับทราบหรือไม่อย่างไร 2.สิทธิการลงทุน “รายแรก” และอธิปไตยเหนือทรัพยากร ข้อความใน MoU ที่ระบุว่าสหรัฐฯ จะมี “first opportunity to invest” ในสินทรัพย์แร่หายากของไทยจะมีผลกระทบอย่างไรต่อเสรีภาพของไทยในการเลือกนักลงทุนจากประเทศอื่น รัฐบาลมีมาตรการใดเพื่อรักษาอธิปไตยและป้องกันการผูกขาดหรือการครอบงำทรัพยากรแร่หายากโดยต่างชาติหรือไม่ อย่างไร
3.ผลประโยชน์และการพัฒนาภายในประเทศ MoU ระบุว่าจะสนับสนุนการเพิ่มมูลค่าและการแปรรูปภายในประเทศ รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาทักษะแรงงานไทย รัฐบาลมีแผนปฏิบัติการและตัวชี้วัดใดในการับประกันว่าการลงทุนของาสหรัฐฯจะเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีจริง และจะส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมแปรรูปภายในประเทศมากกว่าการส่งออกวัดตถุดิบหรือไม่ อย่างไร
4.มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและชุมชน ในเมื่อแร่หายากเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชน รัฐบาลจะกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมอย่างไรในโครงการที่อาจเกิดขึ้นภายได้ MoU และจะมีการให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือไม่ อย่างไร และ 5.ผลประโยชน์ทางการค้าของไทย – สหรัฐฯ ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าและสนับสนุนการต่อต้านกาค้าไม่เป็นธรรม มีข้อผูกพันหรือขอแลกเปลี่ยนใดเกี่ยวกับอัตราภาษีศุลกากร การเปิดตลาดและสิทธิประโยชน์อื่นที่ไทยต้องการให้แก่สหรัฐฯ เพื่อแลกกับการลงทุนและความร่วมือนี้หรือไม่อย่างไร
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวย้ำว่า การถามนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ตนเชื่อว่า ประชาชนทั้งประเทศก็เกิดข้อสงสัยในสิ่งที่นายกฯได้ไปลงนามใน MoU ฉบับนี้ไป ตนจึงขอเป็นตัวแทนคนไทยทั้งประเทศถามเพื่อให้นายกฯตอบให้หายข้อสงสัย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง เพราะยังมีปัญหาใหม่ๆตามมาให้ต้องแก้ไขอีกมาก