
เมื่อวันที่ 1 กันยายน ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบ “ข้อเสนอการกำหนดให้องค์กรภาคประชาชน องค์กรเอกชน หรือหน่วยงาน เป็นสถานบริการสาธารณสุขอื่นที่คณะกรรมการกำหนดเพิ่มเติม ตามมาตรา 3 แห่งพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545” เสนอโดย รศ.ดร.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
ก่อนการประชุมฯ จะเริ่มขึ้น นายสมศักดิ์ ได้รับหนังสือจากเครือข่ายบำบัดยาเสพติดโดยชุมชน นำโดย นางวันเพ็ญ อำนาจกิติกร ผู้อำนวยการบ้านพระเมตตา (House of Compassion จ.เชียงใหม่) ผู้ให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด, นายพร้อมบุญ พานิชภักดิ์ เลขาธิการมูลนิธิรักษ์ไทย ผู้ให้บริการลดอันตราย (Harm Reduction) และ นายบุญชัย ไพศาล ประธาน ศตส.ภาคประชาชน อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ผู้ให้บริการ CBTx (Community-Based Treatment & Care) พร้อมด้วยเครือข่ายคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย โดยมีนางปวีณา เอี่ยมสำอาง ซึ่งเป็นผู้แทนเข้าร่วมยื่นหนังสือ สนับสนุนให้บอร์ด สปสช. เห็นชอบข้อเสนอวาระดังกล่าว เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการเฉพาะกลุ่มและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วย

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในวันนี้บอร์ด สปสช. เห็นชอบข้อเสนอการกำหนดให้องค์กรภาคประชาชน องค์กรเอกชน หรือหน่วยงาน เป็นสถานบริการสาธารณสุขอื่นที่คณะกรรมการกำหนดเพิ่มเติม ตามมาตรา 3 ในบริการ 3 ประเภท ดังนี้ 1.บริการมิตรภาพบำบัด 2.บริการสำหรับผู้ใช้สารเสพติด และ 3.บริการพัฒนาทักษะการสื่อสารเพื่อการดำรงชีวิตอิสระสำหรับคนหูหนวก พร้อมเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง กำหนดสถานบริการสาธารณสุขอื่นเป็นสถานบริการตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. …. โดยมอบให้ สปสช. ดำเนินการตามกระบวนการของสำนักงาน และเสนอ รมว.สาธารณสุข พิจารณาลงนาม ตลอดจนให้ สปสช. จัดทำระบบการกำกับติดตามและประเมินผลลัพธ์การดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไป
ทั้งนี้ การพิจารณาดังกล่าวเป็นผลจากมติ บอร์ด สปสช. ครั้งที่ 2/2563 (3 ก.พ. 63) ที่เห็นชอบแนวการพิจารณากำหนดเป็นสถานบริการสาธารณสุขอื่นตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยให้องค์กรหรือหน่วยงานที่ให้บริการสาธารณสุขตาม มาตรา 3 ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของ พ.ร.บ.สถานพยาบาลฯ ร่วมขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการสาธารณสุขอื่นตามมาตรา 3 ได้ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการได้

“การอนุมัติข้อเสนอทั้ง 3 ด้านนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อเข้ามาเสริมการทำงานของระบบบัตรทอง และช่วยเติมเต็มช่องว่างในการให้บริการแก่กลุ่มประชาชนที่มีความต้องการเฉพาะทางอย่างทั่วถึง สอดรับกับนโยบายรัฐบาล 30 บาทรักษาทุกที่” รมว.สาธารณสุข กล่าว
ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า บริการทั้ง 3 ประเภทถือเป็นหน่วยบริการทางเลือกในระบบบัตรทอง เพื่อช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการเฉพาะด้านให้กับประชาชน เริ่มจาก “บริการมิตรภาพบำบัด” จัดตั้งขึ้นภายใต้แนวคิด “เพื่อนช่วยเพื่อน” (Peer support) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมและต่อเนื่อง ทั้งที่บ้านและในชุมชน ครอบคลุมกลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง โรคเรื้อรัง เช่น ไตวายและเบาหวาน โรคเลือด โรคหายาก ผู้ป่วยจิตทุเลา เป็นต้น โดยให้บริการ อาทิ ให้คำปรึกษา แลกเปลี่ยนข้อมูลและทักษะการดูแลตนเอง ให้กำลังใจกัน และประสานงานกับบุคลากรทางการแพทย์

ต่อมาคือ “บริการสำหรับผู้ใช้สารเสพติด : ลดอันตรายและฟื้นฟูต่อเนื่อง” มีเป้าหมายให้ผู้ใช้สารเสพติดได้รับการฟื้นฟูและติดตามผลอย่างต่อเนื่องหลังบำบัดรักษา เนื่องจากปัจจุบันพบว่ากว่า 2 ใน 3 ของผู้ใช้สารเสพติดและผู้ที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาเสพยาซ้ำ ซึ่งขอบเขตบริการจะครอบคลุมบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ บริการลดอันตรายโดยชุมชนและการดูแลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน รวมถึงการค้นหาและคัดกรอง การให้คำปรึกษา การสอนทักษะชีวิต การติดตามเยี่ยมบ้าน และการส่งต่อผู้ป่วยเมื่อเกินศักยภาพ
นพ.จเด็จ กล่าวต่อว่า บริการประเภทสุดท้ายคือ “บริการทักษะการสื่อสารเพื่อการดำรงชีวิตอิสระสำหรับคนหูหนวก” ข้อเสนอนี้ เกิดจากคนหูหนวกที่ไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่น ทำให้ไม่สามารถเข้ารับบริการสุขภาพ ไม่กล้าที่จะเข้าสู่สังคม ขาดทักษะในการดำรงชีวิตอิสระ คนหูหนวกที่ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษามือ จึงทำให้เกิดปัญหาการสื่อสารปัญหาสุขภาพทั้งทางกาย สุขภาพจิตต่อบุคลากรสุขภาพ ขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิบริการและการรับบริการสุขภาพ ด้วยเหตุนี้ บอร์ด สปสช. จึงเห็นชอบให้ขยายขอบเขตการจัดบริการพัฒนาทักษะการสื่อสารเพื่อการดำรงชีวิตอิสระสำหรับคนหูหนวก โดยเปิดโอกาสให้ศูนย์บริการคนพิการทั่วไปและองค์กรคนพิการที่ได้รับการรับรอง สามารถเข้ามาเป็น “สถานบริการอื่น” ตามมาตรา 3 เพื่อร่วมให้บริการคนพิการทางการได้ยินและการสื่อความหมายทุกกลุ่มวัย โดยเน้นบริการฟื้นฟูทักษะการสื่อสารตามมาตรฐานของสถาบันราชสุดาฯ มหาวิทยาลัยมหิดล เช่น การใช้ภาษามือ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสุขภาพ และการดูแลสุขภาพกาย–จิตในระดับพื้นฐาน
ขอย้ำว่า หน่วยบริการทั้ง 3 ประเภทนี้ จะต้องมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนตามที่กำหนด คือ ต้องไม่เป็นองค์กรหรือหน่วยงานภายใต้กำกับของ พ.ร.บ.สถานพยาบาล และต้องมีประสบการณ์ในการให้บริการตามประเภทหน่วยบริการมาแล้วไม่น้อยว่า 1 ปี นอกจากนี้ยังต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบุคลากรผู้ให้บริการจะต้องผ่านการอบรมหรือหลักสูตรการให้บริการ ตามเกณฑ์การให้บริการของหน่วยบริการแต่ละประเภท ทั้งนี้เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับการบริการอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน” เลขาธิการ สปสช. กล่าว