
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน Kick off กิจกรรมผนึกกำลัง “มหาดไทย – ตำรวจ-สาธารณสุข” ปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดเชิงรุกทุกพื้นที่ (Thailand Zero Drugs) โดยมี นายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมในงานมากกว่า 3,000 คน ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี และถ่ายทอดสดผ่านระบบออนไลน์ไปยังทุกพื้นที่ทั่วประเทศ มีผู้รับชมกว่า 30,000 คน

ในงานดังกล่าว ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ร่วมกัน Kick Off ส่งมอบรายชื่อผู้ติดยาเสพติด 188,626 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเข้ารับการบำบัดฟื้นฟู และผู้ค้ายาเสพติด 16,036 ราย ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายดำเนินคดี
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ผลวันนี้สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าเราจับมือร่วมมือกัน อย่างน้อยตัวเลขที่ออกมาที่เราสามารถได้รายชื่อผู้ค้าในทุกจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และยอดผู้เสพ ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงการกระทำในช่วงเวลาที่เราได้ประกาศว่าเริ่มต้นปฏิบัติการ ซึ่งแค่เริ่มต้นก็สามารถเอาชื่อมาได้เพื่อเป็นเป้าหมายที่เราจะเข้าไปดำเนินการ ดึงหลักฐานทั้งหมดมาร่วมมือในการจัดการต่อไปอย่างเด็ดขาด ซึ่งกลไกรัฐได้จับตามองและจะดำเนินการโดยทันทีหลังจากนี้เป็นต้นไป

“ประเทศไทยต้องปลอดยาเสพติดทั่วทั้งแผ่นดิน ภายใน 3 เดือนนี้ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน อย่างน้อยที่สุดจะได้รู้ว่าการร่วมมือกันทั้งหมดภายใน 3 เดือน ผลที่ออกมาจะเป็นยังไง และจะมีตัวชี้วัดสำคัญ คือ “ประชาชนในชุมชน” ถ้าเขาบอกว่าไม่มียาเสพติดก็เข้าใจได้ว่ามันไม่มี แต่ถ้าเขาบอกว่ามันยังมี ถึงแม้ตัวเลขเราดี ก็ต้องทบทวนตรวจสอบว่ามันยังหลุดสายตาจากส่วนไหนไป เพื่อดำเนินการต่อ ดังนั้น ภายใน 3 เดือนเป็นจุดแตกหักความสำเร็จการแก้ปัญหายาเสพติดของประเทศไทย หัวใจทั้งหมดอยู่ที่หมู่บ้านและชุมชน ด้วยการบูรณาการกลไกความร่วมมือทุกภาคส่วน โดยเฉพาะระดับพื้นที่ทั้ง 3 ฝ่าย คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด รวมถึงทหาร ตชด. ที่รับผิดชอบ Seal Stop Safe ชายแดนสกัดเบื้องต้นไม่ให้ยาเสพติดทะลักเข้ามา ไม่ให้สารตั้งต้นทะลักเข้าไป” นายภูมิธรรม กล่าว

นายภูมิธรรม ได้เน้นย้ำ 4 นโยบายที่สำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด ทั้งการป้องกัน ป้องปราม ปราบปราม และบำบัดรักษา ได้แก่ 1.มาตรการป้องกัน ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ร่วมกันบูรณาการทำงานประสานแลกเปลี่ยนข้อมูล วางกำลังร่วมกันและจัดกำลังเพื่อสนับสนุนภารกิจของกันและกัน เน้นย้ำให้ทุกหมู่บ้านเสริมสร้างบทบาทกลไกชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) 670,000 คน นำโดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นฐานสำคัญที่จะชี้วัดว่ายาเสพติดครั้งนี้ในชุมชน/หมู่บ้านดีขึ้นหรือไม่ ทำเป็นตาสับปะรดให้รัฐบาลชี้วัดได้ว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ปัญหาอยู่ตรงไหน รวมทั้งใช้กลไกชุมชนเป็นเครือข่ายตาสับปะรดเฝ้าระวังป้องกันเพื่อลดโอกาสสมาชิกในหมู่บ้านชุมชนเข้าไปยุ่งเกี่ยวยาเสพติด และน้อมนำหลักการและแนวคิดกองทุนแม่ของแผ่นดิน มาช่วยเสริมสร้างพลังแห่งความดีของสมาชิกในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อสนับสนุนร่วมมือการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืน

2.มาตรการป้องปราม ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด บูรณาการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อจัดทำข้อมูลบัญชีพื้นที่ระบุหมู่บ้าน/ชุมชนที่เป็นพื้นที่เสี่ยง เพื่อนำมาตรการเชิงรุกเข้าควบคุมใช้ในการทำงานจัดระเบียบสังคม และควบคุมสถานที่เสี่ยง สถานบันเทิงที่เป็นแหล่งมั่วสุมยาเสพติดไม่ให้เป็นแหล่งกระจายยาเสพติด ตัดวงจรและสกัดกั้นการเข้าถึงยาเสพติดทุกพื้นที่ ตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด เพื่อยับยั้งโอกาสในการเกิดการกระทำความผิด โดยกำชับและเน้นย้ำนายอำเภอใช้กลไก Seal Stop Safe ตรวจตราชายแดนทุกช่องทาง โดยเฉพาะช่องทางธรรมชาติให้มากขึ้นและขยายผลครอบคลุมทั่วประเทศ
3.มาตรการปราบปราม ยึดหลักเด็ดขาด โปร่งใส ไม่ละเว้น “ถ้าชาวบ้านรู้ แต่เจ้าหน้าที่ไม่รู้ ถือเป็นความผิด” ด้วยการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ค้าและผู้เกี่ยวข้องทุกระดับควบคู่การค้นหาผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในทุกพื้นที่ ทุกตารางนิ้ว บูรณาการร่วมกันอย่างไร้รอยต่อระหว่างตำรวจ ทหาร หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ และกลไกฝ่ายปกครอง โดยเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้นำบูรณาการปราบปรามยาเสพติดบนข้อมูลสถานการณ์จริงตามบริบทและความเหมาะสมของพื้นที่ ใช้กลไกฝ่ายปกครองในพื้นที่สนับสนุนด้านการข่าว ถ้าแม่นยำตรวจตราได้ลึกถึงผู้ค้าผู้บงการก็จะมีกลไก ป.ป.ง. เข้ามาเกี่ยวข้องและตรวจสอบลึกลงไปจนถึงต้นทางเพื่อยึดทรัพย์ผู้ค้าโดยเฉพาะรายใหญ่ ๆ ด้วย


4.มาตรการบำบัดฟื้นฟู ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อคืนคนคุณภาพสู่สังคม ผู้เสพต้องได้รับโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยยึดการปฏิบัติตามหลักการ “ผู้เสพคือผู้ป่วย” ส่งเข้าบำบัดรักษาแทนการดำเนินคดี ลดการตีตรา และสร้างโอกาสการเรียนรู้ในอาชีพให้ผู้ผ่านการบำบัดได้กลับเข้าสู่สังคมอย่างเป็นสุขและเป็นธรรม รวมทั้งพัฒนาการการดำเนินงานศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควบคู่กับการยกระดับศูนย์บำบัดยาเสพติดในพื้นที่ให้มีมาตรฐานเดียวกัน โดยดำเนินการ “1 จังหวัด 1 สถานฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด เป็นอย่างน้อย” และพัฒนาระบบติดตามผู้ผ่านการบำบัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าผู้ผ่านการบำบัดดังกล่าวจะไม่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดซ้ำอีก

รมว.มหาดไทย ยังได้กำหนดตัวชี้วัด (KPIs) 3 เดือนเพื่อเห็นความสำเร็จ ด้วยการกวาดล้างยาเสพติดอย่างเข้มข้นทั่วประเทศ 6 ตัวชี้วัด คือ
- ผลการดำเนินงานในการสกัดกั้นยาเสพติดในจังหวัดชายแดนเปรียบเทียบกับการจับกุมทั้งประเทศ คือ “ผลการสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนมีจำนวนมาก ผลการจับกุมกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ภายในจะต้องมีจำนวนลดน้อยลง”
- ผลการดำเนินงานในการสกัดกั้นยาเสพติดในจังหวัดชายแดนเปรียบเทียบกับการจับกุมทั้งประเทศ คือ “ผลการสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนมีจำนวนมาก ผลการจับกุมกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ภายในจะต้องมีจำนวนลดน้อยลง”
- จำนวนการจับกุมผู้ค้าและขยายผลสู่เครือข่าย คือ “จับกุมผู้ค้าได้ต้องสามารถขยายผลถึงเครือข่ายได้”
- จำนวนผู้เสพที่เข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู คือ “เมื่อได้ผู้เสพยาเสพติด จะต้องนำผู้เสพยาเสพติดทุกรายเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู”
- การดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด คือ “เมื่อพบเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจะต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มข้นและทันที”
- การขยายเครือข่ายพลังชุมชน เพื่อป้องกัน และเฝ้าระวังยาเสพติด ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านชุมชน คือ “ต้องทำให้หมู่บ้าน ชุมชน เป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติด ทั่วประเทศ”

“ตนเชื่อมั่นว่า ความมุ่งมั่นการดำเนินงานอย่างจริงจังของกลไกมหาดไทยและทุกระดับ พลังของการบูรณาการหน่วยงานของประเทศในการแก้ไขปัญหายาเสพติด “ทุกหมู่บ้าน ชุมชน” จะต้องปลอดภัยจากยาเสพติด “No Drugs No Dealers สู่ Zero Drugs Thailand ประเทศไทยต้องปลอดยาเสพติด”นายภูมิธรรม กล่าว
