
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและ ผู้บริหารส่วนกลาง ร่วมประชุม โดยเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference ไปยังศาลากลางจังหวัด ทุกจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทยประจำภูมิภาค หัวหน้าส่วนราชการส่วนกลางประจำภูมิภาค นายอำเภอ ผู้อำนวยการกลุ่มงาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย มุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามปณิธานของคนมหาดไทยที่ว่า “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” โดยน้อมนำพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” และพระบรมราชโองการ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดยนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มาขยายผลทำให้ประชาชนพึ่งพาตนเอง นอกจากนี้ ได้น้อมนำพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีความห่วงใยพสกนิกรไทยทุกคน

ทั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กรุ่นใหม่ (New Gen) ที่ต้องเผชิญกับสภาพสังคมที่มีพลวัตการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ทั้งการไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ และขาดสารอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย โดยพระองค์ทรงมีพระราชดำริและพระราชทานแนวทางการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร “บ้านนี้มีรักปลูกผักกินเอง” และ “ทางนี้มีผลผู้คนรักกัน” รวมทั้งทรงส่งเสริมให้โรงเรียน/สถานศึกษามีการเลี้ยงสัตว์เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร เช่น การเลี้ยงไก่เพื่อนำไข่มาเป็นอาหารและต้องมีจำนวนไก่ที่มากกว่าจำนวนคน เพื่อจะได้มีทรัพยากรด้านอาหารที่เพียงพอสำหรับทุกคน อันเป็นการสร้างความอุดมสมบูรณ์และความมั่นคงด้านอาหาร ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้น้อมนำพระราชดำริการสร้างความมั่นคงด้านอาหารและการขจัดความยากจน โดยกระตุ้นปลุกเร้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งการรณรงค์การเลี้ยงสัตว์เพื่อการพึ่งพาตนเอง เช่น เป็ด ไก่ กบ ปลา จิ้งหรีด และการปลูกพืชผักสวนครัว
ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การพัฒนางานบริการประชาชนในด้านการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล เพื่อรองรับการบริการภาครัฐและธุรกรรมออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชั่น “ไทยดี : Thai Digital Identity (ThaiD)” เป็นไปอย่างทั่วถึง เกิดประสิทธิภาพ และทำให้พี่น้องประชาชนมีความสะดวกในการรับบริการของรัฐ จึงขอให้กรมการปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด นายอำเภอ อบรมให้คำแนะนำบุคลากรในการใช้งานแอปพลิเคชั่น “ไทยดี” พร้อมทั้งจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้วิธีการลงทะเบียน วิธีการใช้งาน พร้อมจัดหน่วยเคลื่อนที่ลงพื้นที่ไปให้คำแนะนำทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งการนำเข้าวาระการประชุมกรมการจังหวัด กรมการอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงมหาดไทย การลงพื้นที่พบปะกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เยี่ยมเยียนประชาชน การพูดกระจายเสียงผ่านสถานีวิทยุ สถานีโทรทัศน์ หอกระจายข่าว และทุกช่องทาง “โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนลงทะเบียนครบทุกครัวเรือนภายในเมษายน 2566” นี้ เพื่อเตรียมการขยายผลไปสู่ Digital Wallet มีเอกสารดิจิทัลบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะทำให้ในอนาคต พี่น้องประชาชนสามารถนำไปแสดงตนในการทำธุรกรรมได้อย่างครบวงจร อันเป็นจุดเริ่มต้นของประเทศไทยที่จะเปลี่ยนจากอนาล็อกไปสู่ดิจิทัลต่อไป

นอกจากนี้ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งรัดการดำเนินงานป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ด้วยการขับเคลื่อนศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการจัดตั้งแล้วจำนวน 313 แห่งในพื้นที่ 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอได้บูรณาการภาคีเครือข่าย ค้นหาผู้นำศาสนา นักวิชาการ ปราชญ์ชาวบ้าน ไปช่วยกันอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้เข้ารับการอบรมในการช่วยเหลือผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดของศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม พร้อมทั้งส่งเสริมการปลูกต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผักสวนครัว ทำให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ มีงาน มีอาชีพ มีรายได้ และที่สำคัญ คือ การทำให้เกิดความยั่งยืน โดยวางแผนระบบการติดตามผู้ที่เข้ารับการอบรมเพื่อไม่ให้กลับไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ด้วยการอำนวยความสะดวกทีมชุดตรวจติดตามในการลงพื้น สร้างกระบวนการจับเข่าคุยให้กำลังใจกันแบบพี่แบบน้อง และการดูแลทั้งตัวผู้อบรมตลอดจนครอบครัวของผู้อบรม เพื่อการเป็นกลไกติดตามและขยายผลสู่การสร้างหมู่บ้าน/ชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขณะนี้ประเทศไทยกำลังประสบกับสภาพปัญหาไฟป่าและหมอกควัน PM 2.5 จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดระดมสรรพกำลัง หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่นท้องที่ และภาคีเครือข่าย ร่วมกันวางแผนการป้องกันไฟป่า หมอกควัน และเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ประชาชน “โดยต้องเริ่มที่ต้นเหตุและไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” และเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน จะมีปัญหาเรื่องอื่น ๆ ที่ต้องช่วยกันบูรณาการแก้ไข โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จะต้องขับเคลื่อนงาน “มิติป้องกัน” มากยิ่งขึ้น เช่น การควบคุมและป้องกันอุบัติเหตุจากการเดินทางสัญจรในเทศกาลวันหยุด การรณรงค์ป้องกันการดื่มเครื่องดื่มมึนเมา การงดเว้นจำหน่ายเครื่องดื่มในบริเวณพื้นที่จัดงาน การป้องกันการจมน้ำของเด็กเล็ก และผู้ใหญ่ที่อาจประมาทพลาดพลั้งจากการไม่ป้องกันตนเอง การรณรงค์ไม่ให้ประชาชนกินของดิบเพื่อป้องกันท้องเสียในช่วงฤดูร้อน การสำรวจตรวจสอบสายไฟฟ้าที่เป็นจุดก่อกำเนิดไฟไหม้ในอุณหภูมิที่สูงขึ้นทุกวันนี้ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้ชีวิตประจำวัน

“เพราะว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นนายกรัฐมนตรีของจังหวัด ที่ต้องเป็นผู้นำการส่งเสริมบทบาทของนายอำเภอ และส่วนราชการ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการบูรณาการงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีเครือข่าย มุ่งสู่เป้าหมายการขับเคลื่อนงานบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์กล่าว
