
นายโสภณ มะโนมะยา รองประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา เปิดเผยว่านายนิรัตน์ อยู่ภักดี ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ ได้มอบหมายให้ตนนำคณะกรรมาธิการฯลงพื้นที่ศึกษาสถานการณ์การค้าด่านพรมแดนไทย-มาเลเซีย ท่าเรือน้ำลึกจังหวัดสงขลา ท่าเรือปีนัง และบริษัท Pentamaster Corporation Berhad ผู้พัฒนาโซลูชันระบบอัตโนมัติของมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17–20 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อศึกษาและรับฟังปัญหาการแข่งขันค้าขายไทย-มาเลเซีย ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน สถานการณ์การค้าและเศรษฐกิจชายแดน บรรยากาศการท่องเที่ยวไทย-มาเลเซีย ตลอดจนศักยภาพการแข่งขันค้า-ขายระหว่างไทยกับมาเลเซีย

นายโสภณ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการได้พบปะผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติ เพื่อรับฟังปัญหาและอุปสรรคด้านการขนส่งและการค้าชายแดน โดยเฉพาะที่ด่านสะเดาและด่านปาดังเบซาร์ซึ่งเคยเป็นด่านอันดับหนึ่งของประเทศ แต่ปัจจุบันประสบปัญหาความแออัดและโครงสร้างพื้นฐานไม่สอดคล้องกับเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ไทยเสียเปรียบทั้งทางบกและทางเรือ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลารายงานว่าสงขลากำลังเร่งพัฒนาด่านสะเดาแห่งใหม่ร่วมกับมาเลเซีย คาดแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม โดยวางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเน้นหาดใหญ่สะเดาและเมืองสงขลา เป็นศูนย์กลางการค้า การบริการและการผลิต ควบคู่กับพัฒนาพื้นที่เกษตรและผลักดันเมืองเก่าสงขลาเป็นแหล่งมรดกโลกในปี 2570 โดยจังหวัดสงขลาจัดแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วน คือ พื้นที่ชายแดน พื้นที่เศรษฐกิจหลัก และพื้นที่อื่นๆ ซึ่งจุดเด่นสงขลามีทั้งภูเขา น้ำตก ทะเลสาบและชายฝั่งทะเลยาวต่อเนื่องเชื่อมโยงทั้งภูมิภาคและระดับนานาชาติ โดยมีแนวทางบริหารจัดการอย่างเป็นระบบเพื่อยกระดับจังหวัดสงขลาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคใต้

สำหรับ ท่าเรือน้ำลึกจังหวัดสงขลานั้น นายโสภณ กล่าวว่าได้รับทราบการให้บริการและอำนวยความสะดวกสำหรับเรือและสินค้า การนำเข้า–ส่งออก ตลอดจนศักยภาพและแนวทางพัฒนาท่าเรือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผู้อำนวยการท่าเรือน้ำลึกสงขลา และบริษัทเจ้าพระยาท่าเรือสากลจำกัดบรรยายสรุปว่า ท่าเรือสงขลากำลังดำเนินโครงการปรับปรุงในรูปแบบ PPP (Public–Private Partnership) ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยภาครัฐนำโดยกรมเจ้าท่าและกรมธนารักษ์ ส่วนภาคเอกชนดำเนินการขุดลอกร่องน้ำให้ลึกขึ้นเพื่อรองรับเรือขนาดใหญ่ ติดตั้งเครนยกตู้คอนเทนเนอร์ทันสมัย พร้อมอุปกรณ์สนับสนุนอื่นๆให้รองรับตู้คอนเทนเนอร์ให้มากขึ้น

นายชวพล วัฒนะเวคิน รองประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่าได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของท่าเรือน้ำลึกสงขลาที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของภาคใต้ตอนล่าง รองรับการขนส่งสินค้าเกษตรและสินค้านำเข้าจำเป็น ต้องเร่งพัฒนาเครื่องมือและเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อให้สามารถแข่งขันและใช้งานได้เต็มศักยภาพ นอกจากนี้ได้ร่วมประชุมทวิภาคีกับหอการค้าและอุตสาหกรรมจีนเคดะห์ (Kedah Chinese Chamber of Commerce and Industry) เป็นองค์กรสำคัญที่ส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของชุมชนชาวจีนในรัฐเคดะห์ ประเทศมาเลเซีย ที่เป็นตัวแทนนักธุรกิจในการประสานงานกับภาครัฐ จัดกิจกรรมเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจ ให้คำปรึกษาแก่สมาชิก และสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่น

รองศาสตราจารย์แล ดิลกวิทยรัตน์ กรรมาธิการการฯ กล่าวว่าจากการลงพื้นที่ศึกษาดูงานท่าเรือปีนัง เพื่อเปรียบเทียบการบริหารท่าเรือระหว่างท่าเรือปีนังกับท่าเรือสงขลา พบว่าท่าเรือปีนังมีความยืดหยุ่นทั้งระยะสั้นและระยะยาว มีการปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น การนำระบบ IT มาช่วยขนถ่ายสินค้า มีการปรับตัวของฝ่ายบริหารให้ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของตลาดผู้ใช้บริการ นอกจากนี้กรรมการบอร์ดของท่าเรือปีนังประกอบด้วยภาครัฐและเอกชนในสัดส่วนเท่าๆกัน และมีการให้สัมปทานกับภาคเอกชนระยะยาวถึง 30 ปีสามารถลงทุนและคืนทุนได้เต็มที่ ขณะที่ท่าเรือสงขลาปัจจุบันยังมีการให้สัมปทานระยะสั้น ทำให้การลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพระยะยาวทำได้จำกัด ในฐานะคณะกรรมาธิการฯเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ สามารถสื่อสารให้ฝ่ายบริหารกำหนดนโยบายและดำเนินการให้เกิดผลอย่างรวดเร็วและตรงตามความสำคัญ

ด้าน นายชิบ จิตนิยม รองประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่าคณะกรรมาธิการฯได้เยี่ยมชม Pentamaster Corporation Berhad บริษัทผู้พัฒนาโซลูชันระบบอัตโนมัติชั้นนำของมาเลเซียที่รัฐปีนัง ดำเนินธุรกิจ 4 กลุ่ม ได้แก่ เครื่องทดสอบอัตโนมัติ ระบบอัตโนมัติด้านเครื่องมือแพทย์ ระบบอัตโนมัติสำหรับโรงงาน และโซลูชันคลังสินค้าอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ และเครื่องมือแพทย์ โดยได้รับฟังข้อมูลด้านการบริหาร การลงทุน และนวัตกรรมรอบด้าน

นายชิบ กล่าวว่า โรงงานอุปกรณ์การแพทย์ที่ปีนังได้สะท้อนวิสัยทัศน์ของมาเลเซียที่มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทค และชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศอาเซียนควรร่วมมือกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลแทนอุตสาหกรรมดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ทั้งไทยและมาเลเซียยังคงขาดแคลนวิศวกร แม้ไทยจะมีมหาวิทยาลัยและโครงการฝึกงานจำนวนมาก แต่แรงงานยังไม่เพียงพอ ขณะที่มาเลเซียเองก็ประสบปัญหาเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการสร้างความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งยกระดับศักยภาพการแข่งขันของทั้งสองประเทศและภูมิภาคร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการฯได้ตรวจเยี่ยมและลงพื้นที่บริเวณด่านปาดังเบซาร์และประชุมร่วมกับข้าราชการในพื้นที่ โดยนายโสภณ กล่าวถึงปัญหาการขนส่งระหว่างไทยมาเลเซียว่า สถานีรถไฟปาดังเบซาร์เคยเป็นสถานีร่วมระหว่างไทยและมาเลเซีย ซึ่งทำให้ไทยสามารถตรวจสอบสินค้าและเก็บภาษีอากรได้โดยตรง แต่หลังจากการปักปันเขตแดนใหม่ สถานีแห่งนี้ตกไปอยู่ในพื้นที่มาเลเซีย ทำให้ไทยสูญเสียสิทธิ์ในการตรวจสอบสินค้าและเก็บภาษี

ปัจจุบันฝั่งไทยประสบปัญหาในการสร้างสถานีตรวจสอบสินค้า เนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่และการใช้ประโยชน์ที่ดินในบริเวณชายแดน ซึ่งทำให้ไม่สามารถจัดตั้งสถานีตรวจสอบสินค้าได้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ไทยสูญเสียรายได้จากภาษีและค่าธรรมเนียมการขนส่งสินค้า ขาดอำนาจในการควบคุมคุณภาพและปริมาณสินค้า และเสียโอกาสในการจัดเก็บข้อมูลทางการค้าเพื่อวางนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวไทยควรร่วมมือกับมาเลเซียในการจัดตั้งสถานีตรวจสอบสินค้าในพื้นที่ที่เหมาะสม และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น