
เมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ประชุมวุฒิสภาได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว พิจารณาพร้อมรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ชี้แจงว่า ในฐานะผู้แทนรัฐบาลได้ขอเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา วงเงินงบประมาณ 3,780, 600 ล้านล้านบาท โดยจัดทำงบประมาณตามนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ทั้งนโยบายเร่งด่วน นโยบายระยะกลางและนโยบายระยะยาว เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ รวมถึงน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางในการจัดสรรงบประมาณ

นอกจากนี้ ยังจัดทำงบประมาณเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศ โดยมุ่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วนพร้อมกับสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ รวมถึงสังคมต่อยอดการพัฒนาภาคการผลิต การบริการ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเพื่อส่งเสริมการวางรากฐาน สู่การพัฒนาประเทศในอนาคต รวมทั้งวางยุทธศาสตร์ให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการผลิต ภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายโอกาสการดูแลคุณภาพชีวิตและความมั่นคงให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสวัสดิการที่เหมาะสม
ด้าน นายประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ได้ตั้งข้อสังเกตในการจัดทำงบประมาณ ว่า รัฐบาลควรคำนึงถึงการจัดเก็บรายได้เพื่อลดการกู้ชดเชยขาดดุล และตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกับความต้องการเพื่อลดการใช้จ่ายจากเงินคงคลัง ขณะที่ ด้านสังคมเป็นด้านที่ได้รับจัดสรรงบงบประมาณมากที่สุด แต่ยังพบปัญหา โดยเฉพาะช่องว่างรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจน ซึ่งยังคงขยายตัว รวมทั้งคนในพื้นที่ห่างไกลยังเข้าไม่ถึงบริการพื้นฐาน ขาดหลักประกันที่เพียงพอ จึงเสนอแนะให้หน่วยงานควรนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปดำเนินการให้ประชาชนได้รับประโยชน์ทางด้านสังคมเพิ่มมากขึ้น

สำหรับ ปัญหาด้านความมั่นคง ยังคงมีความตึงเครียดในบางพื้นที่ชายแดนจากสถานการณ์ประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภัยคุกคามไซเบอร์ จึงเสนอให้มีการบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน พร้อมป้องกันและรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยให้กองทัพเป็นเสาหลักให้กับประชาชน ต้องมีความพร้อมทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์
จากนั้น การอภิปรายของสมาชิกวุฒิสภาได้ตั้งข้อสังเกตว่า วิกฤติงบประมาณไทย คือ กับดักการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ซึ่งงบประมาณ คือเครื่องมือในเชิงนโยบาย ซึ่งหากเครื่องมือนี้ติดกับดักจะทำให้ประเทศไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ โดยการจัดสรรงบประมาณปี 2569 ติดกับดัก 3 ด้าน คือ ไม่คล่องตัว ไม่คุ้มค่า และขาดความตั้งใจในการปฏิรูป โดยสิ่งที่น่าเป็นกังวล คือ รัฐบาลไม่จริงจังในการปรับโครงสร้างการจัดทำงบประมาณรายจ่าย ไม่มีการลงทุนโครงการใหม่ ๆ โดยเฉพาะรายจ่ายบุคลากรและบำนาญที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ตลอดจนรัฐบาลขาดการประกาศเจตนารมณ์ในการปฏิรูปงบประมาณอย่างจริงจัง รวมทั้งมีหลายนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาแต่ไม่ดำเนินการ เช่น โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่เป็นโครงการหลอกลวงให้ประชาชนลงทะเบียน แต่สุดท้ายไม่แจก พร้อมเสนอแนะให้การจัดทำงบประมาณเน้นความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจให้มากที่สุด โดยเฉพาะงบประมาณรายจ่ายงบกลางปี 2569 ที่มีวงเงินกว่า 632,000 ล้านบาท จึงควรสร้างการตรวจสอบจากรัฐบาลและสำนักงบประมาณให้ได้มากที่สุด
