
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายมาตรา 6 งบกลางในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 (วาระที่ 2-3) ว่า มาตรา 6 งบกลาง ขอปรับลดปรับลด 50,000 ล้านบาท ให้เหลือ 627,968.75 ล้านบาท เนื่องจากการเบิกจ่ายงบเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็น ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยและยังมีการโยกโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณในส่วนนี้ เพื่อไปชำระหนี้ในส่วนอื่นที่อาจตั้งงบประมาณไม่เพียงพอ
ปีนี้มีการตั้ง “เงินชดใช้เงินคงคลัง” 123,541 ล้านบาท สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของงบประมาณก็ใกล้เคียงกับปี 2567 ที่มีการตั้งเงินชดใช้เงินคงคลังเอาไว้ 118,000 ล้านบาทเศษ แต่นั่นเป็นเงินชดใช้เงินคงคลัง 2 ปีงบประมาณ คือปี 2565 – ปี 2566 แต่ของปี 2569 ที่เราตั้งไว้ 123,541 ล้านบาทนั้น ตั้งไว้สำหรับปี 2567 ปีเดียว เท่ากับว่าปี 2567 นั้น เราใช้งบประมาณไป 3.8 ล้านล้านกว่าบาท ไม่ได้ใช้แค่เท่าที่สภาได้อนุมัติไป
ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องใช้เงินคงคลัง เกิดมาจากการตั้งงบปกติตั้งไว้ไม่พอ ก็หันไปใช้เงินกลางเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็น แต่เงินสำรองก็ไม่พออีก ในปี 2567 มีการใช้งบเก่งมาก เหลือ 650 ล้านบาท จากที่สภาฯ อนุมัติไปเกือบแสนล้านบาท มาดูกันว่ารัฐบาลใช้เงินคงคลังไปกับอะไรบ้าง?
*ชำระดอกเบี้ย 39,719 ล้านบาท
*บำนาญข้าราชการ 42,127 ล้านบาท
*ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ 23,944 ล้านบาท
*งบบุคลากร (เงินเดือนพนักงาน) 17,008 ล้านบาท
ทั้งหมดนี้เป็นรายการที่คำนวณได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่มีความตั้งใจตั้งงบไว้ให้ต่ำกว่าความเป็นจริง แล้วค่อยอาศัยเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็นในอนาคตแทน แล้วพอปีไหนที่ตึงมือมากๆ เช่น ปี 2567 ที่เอาเงินส่วนหนึ่งไปใช้กับโครงการเงินแจกเงินหมื่นให้กับคนกลุ่มเปราะบาง ก็เลยตึงมือจนต้องไปใช้เงินคงคลัง ซึ่งเป็นเงินก้อนสุดท้ายแล้วที่เราจะเอามาใช้ได้ แต่พอเอามาใช้แล้วก็ต้องมาตั้งงบใช้คืน ปี 2569 นี้ก็มีแนวโน้มเกิดเหตุการณ์ใกล้เคียงกัน เป็นเรื่องที่พูดทุกปีแต่ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ดอกเบี้ยมีการตั้งไว้ต่ำกว่าที่เคยตั้งไว้ต่ำกว่าที่เคยตั้งไว้ในแผนการคลังระยะปานกลาง จากเดิมต้องใช้คืนตัวดอกเบี้ยประมาณ 3 แสนล้านบาทเศษ ปีนี้ตั้งชดใช้ดอกเบี้ยเป็น 2 แสนล้านบาทเศษ ตามจริงแล้วดอกเบี้ยต่อรายได้ของรัฐบาลควรจะต้องทะลุ 10% ไปนานมากแล้ว เพียงแต่ว่ามีการชะลอไม่ให้ถึง ปีนี้คิดว่าสุดท้ายคงต้องชำระดอกเบี้ยเพิ่มเติม แม้ว่าทางสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลังเองจะบอกว่า ลุ้นว่าดอกเบี้ยลดลงในอนาคตและงบประมาณที่ต้องใช้ชำระดอกเบี้ยต้องลดลงตาม แต่คิดว่ายังไงก็ไม่น่าเพียงพอ คงใช้เงินสำรองค่าใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็นอีกแล้วหรือไม่ก็ต้องใช้เงินคงคลัง
อีกรายการที่เป็นแบบนี้ทุกปี คือเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญข้าราชการ และค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ตั้งไว้ไม่เคยพอสักปีตั้งแต่ปี 2562 นับวันก็ยิ่งถ่างออกไป จากปี 2567 ที่ต้องไปใช้เงินคงคลังประมาณ 40,000 ล้าน ปี 2568 ดูแล้วน่าจะต้องไปใช้เงินคงคลังอีก 40,000 กว่าล้านบาท ขณะที่ปี 2569 ตั้งต่ำกว่าที่เป็นคำขอเอาไว้ถึง 50,000 ล้านบาท นี่เป็นสิ่งที่คำนวณได้อยู่แล้วว่าจะต้องมีข้าราชการเกษียณกี่คนต่อปี มันไม่มีทางผิดพลาดได้มากขนาดนี้ นี่คือความตั้งใจ
ส่วนค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ จะเห็นว่า ได้เริ่มมีปรับงบเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ทันกับการเติบโตของค่ารักษาพยาบาลข้าราชการอยู่ดี สองส่วนนี้ น่าจะต้องใช้งบกลางไปแล้ว 60,000 ล้านบาทเศษ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปใช้เงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินในรายการที่เราสามารถที่จะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าได้ งบกลางเงินสำรองไม่ได้ตั้งไว้เพื่อเอาไว้ใช้ในงบที่ไว้ใช้แบบตั้งขาด
อีกเรื่องหนึ่งคือ ค่า K คือเงินชดเชยงานสิ่งก่อสร้าง เวลาที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างต่างๆ รับงานไปแล้วและมีความผันผวนของวัสดุก่อสร้าง เช่น ค่าอิฐ ค่าหิน ปูน ทราย ที่มีระดับราคาสูงขึ้นรายวัน อาจจำเป็นที่จะต้องมีการชดเชยเพิ่มเติม ค่า K ค้างจ่ายบริษัทรับเหมากว่า 3,000 ล้านบาท แต่ตั้งงบไว้ปีละ 960 ล้านบาท เมื่อไรจะใช้หมด ท่านอาจจะบอกว่าเดี๋ยวไปใช้เงินเหลือจ่ายของหน่วยงานก่อน หรือไปใช้เงินนอกงบประมาณก่อน แต่ว่ามันเริ่มเป็นดินพอกหางหมู
ล่าสุดที่ตรวจสอบ พบว่า ล่าสุดมีเงินค้างจ่ายพุ่งไปถึง 3,500 ล้านบาทแล้ว เมื่อสักครู่ คุณศุภณัฐพูดถึงอยากให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมผู้รับเหมาก่อสร้าง เราพบว่ามีการล้มหายตายจากไปเยอะจากการขาดสภาพคล่อง แต่รัฐบาลตั้งงบแบบนี้ ผู้รับเหมาจะอยู่กันได้อย่างไร?
ปี 2567 ตั้งงบกลาง เงินสำรองจ่ายฉุกเฉิน 99,500 ล้านบาท ใช้จนเหลือ 600 ล้านบาท แต่ปี 2568 ตั้งงบกลาง เงินสำรองจ่ายฉุกเฉินไว้ 96,557 ล้านบาท ปีนี้เพิ่งใช้ไปได้ 20,000 กว่าล้านบาท ยังเหลืออีก 70,000 ล้าน น่าจะเพราะต้องการกั๊กไว้เพื่อใช้ในไตรมาสสุดท้ายเพื่อชำระหนี้ต่างๆ หรือไม่ ถ้าไม่ใช่เราก็เห็นประสิทธิภาพการเบิกจ่ายเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็น
ปีนี้ ปี 2568 มีงบกลางก้อนที่เป็นการช่วยเหลือภัยแล้ง พบว่ามีข้อพิรุธในการจัดสรรงบกลางเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็นเพื่อช่วยเหลือภัยแล้งในลักษณะที่เอนเอียงไปทางพรรคแกนนำรัฐบาล ท่านอิทธิพลได้อภิปรายไปแล้วในวาระที่ 1 จากนั้นสำนักงบประมาณก็ร่อนหนังสือให้ทุกหน่วยงานทบทวนโครงการนี้
ณ วันนี้ทบทวนเสร็จแล้ว อยากจะให้มีการตั้งงบอีกรอบ ปรับลดจาก 7,404 ล้านบาท เหลือ 2,108 ล้านบาท ถือว่าใจกล้ามาก เพราะเรื่องนี้อยู่ในการสอบของ ป.ป.ช. อยู่ด้วย ขอให้รอบนี้งบ 2,108 ล้านบาทมีการกระจายตัว ไม่กระจุกตัวที่พรรคร่วมรัฐบาลใด รัฐบาลหนึ่ง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาภัยแล้งแก่พี่น้องประชาชนประสบความสำเร็จ