
ดร.เอกชัย เรืองรัตน์ รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)การพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา พร้อมด้งย นายสหพันธ์ รุ่งโรจน์พณิชย์ และ นายปิยพัฒน์ สุภาวรรณ ที่ปรึกษากมธ.พาณิชย์ฯ เดินทางเข้าพบเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการแยกทรัพย์สินวัดกับทรัพย์สินพระสงฆ์อย่างเป็นระบบ ณ ทำเนียบรัฐบาล
ดร.เอกชัย เปิดเผยภายหลังการหรือว่า การเข้าพบครั้งนี้เพื่อต้องการจัดระเบียบทรัพย์สินของวัดและของพระให้แยกออกจากกัน เป็นการส่งเสริมให้วัดเป็นต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง หรือเป็นวัดเพื่อเศรษฐกิจชุมชนภายใต้การบริหารที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยจากการศึกษาของ TDRI พบว่า วัดมีบัญชีเงินฝากรวม 410,000 ล้านบาท จากวัด 44,000 แห่งทั่วประเทศ แต่มีเพียง 39,000 บัญชีวัดเท่านั้นที่อยู่ในระบบ หมายความว่ามีประมาณ 5,000 วัดที่ไม่มีบัญชี

ทั้งนี้ วัดที่มีข่าวพัวพันกับปัญหามักพบว่ามีบัญชีเป็นหลักสิบ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีหลายวัดที่ไม่มีบัญชีเป็นของวัด แต่เป็นบัญชีของพระสงฆ์ จากข้อมูลนี้สามารถประมาณการว่า เงินในระบบที่ฝากในบัญชีวัดและบัญชีพระสงฆ์รวมกันเกิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยแจ้งว่า ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีของวัดและบัญชีส่วนบุคคลที่ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า “พระ”
สำหรับ สาเหตุหลัก ๆ ของปัญหา เช่น (1) ศาสนาเสียหายจาก “2 ส” คือ สตรีและสตางค์ การแก้ปัญหาที่สตางค์จะช่วยให้พระจับเงินน้อยลง และมีการบริหารอย่างโปร่งใสเป็นระบ จะทำให้ระบบน่าเชื่อถือขึ้น (2) การใช้เงินบริจาคผิดวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการพนันหรือสตรี ซึ่งตามประมวลรัษฎากร ถือว่าไม่ใช่การบริจาคเพื่อกิจกุศล และเงินนั้นจะถือเป็นรายได้ส่วนบุคคลที่ต้องเสียภาษี โดยเฉพาะกรณีพระสงฆ์ที่ได้รับเงินบริจาคแล้วนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ (3) ความมั่งคั่งของวัดและพระสงฆ์เป็นต้นเหตุของปัญหาที่ทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย ทั้งเรื่องสีกาและกลุ่มมิจฉาชีพ (4) ปัญหาการซื้อตำแหน่งสมณศักดิ์ ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สร้างวงจรการเงินที่ไม่ถูกต้องในระบบของพระสงฆ์

(5) วัดหลายแห่งมีทรัพย์สินมหาศาล เช่น ที่ดินแพงๆ ในเมืองใหญ่ แต่รายได้อาจไม่มีการตรวจสอบหรือบริหารอย่างโปร่งใส (6) พระสงฆ์ที่มีประวัติไม่ดีและอาชญากรรม มีชาวบ้านร้องเรียนจำนวนมากว่า มีผู้มีคดีติดตัวไปบวช หรือบางรูปถูกระบุว่าเป็นอาชญากรที่หนีคดีมาบวช (7) ปัญหาด้านสุขภาพของพระสงฆ์ มีรายงานว่าพระสงฆ์บางรูปมีโรคร้ายแรง (8) การขาดการตรวจสอบประวัติที่เข้มงวด และ (9) การใช้สมาร์ทโฟนของพระสงฆ์ซึ่งนำไปสู่การบริโภคสื่อโลกภายนอกมากเกินไป รวมถึงการใช้รูปปกติ (ไม่ใช่รูปที่บวชพระ) พูดคุยหยอกล้อในลักษณะที่ไม่เหมาะสม
นายเอกชัย กล่าวว่า จากการหารือกับนายสุชาติ ซึ่งกำกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้มีการเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่น แนวทางการแก้ไขปัญหา (1) การรวมศูนย์เงินบริจาค โดยเสนอให้นำเงินฝากของวัดและของพระที่รวมกันกว่า 1 ล้านล้านบาท เข้าสู่ระบบธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ (เช่น ธนาคารออมสิน, ธ.ก.ส., กรุงไทย, SME Bank, EXIM Bank) โดยใช้แอปพลิเคชันที่มีอยู่แล้ว เช่น เป๋าตัง, ทางรัฐ, ไทยไอดี (2) พัฒนาแอปพลิเคชัน “ธนาคารพระพุทธศาสนา” ไม่ใช่การตั้งธนาคารใหม่ แต่เป็นการเปิดหน่วยย่อยภายใต้ธนาคารของรัฐที่มีศักยภาพ เช่น ธนาคารออมสิน เพื่อบริหารจัดการเงินนี้

(3) วัตถุประสงค์การใช้เงิน เงินที่รวบรวมได้สามารถนำไปหมุนเวียนปล่อยกู้ในระบบเศรษฐกิจ โดยให้เอกชนรายเล็ก (SMEs) กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและให้ศาสนาได้ช่วยเหลือสังคม (4)การควบคุมบัญชี เช่น 1 วัด : 1 บัญชี 1 รูป : 1 บัญชี บัญชีวัดควรมีการอนุมัติการใช้จ่ายจากหลายฝ่าย เช่น พระ 2 รูป และไวยาวัจกรวัด หรือผู้บริหารเงินของวัด และ (5) การตรวจสอบประวัติและสุขภาพก่อนบวช
ประธานกมธ.พาณิชย์ฯ กล่าวย้ำว่า กมธ.พาณิชย์ จะได้รวบรวมความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา เพื่อพิจารณาตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
