
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในการประชุมหารือกับผู้บริหารบริษัทชั้นนำระดับโลก ภายใต้ชื่องาน “Prime Minister Meets Investors: Confidence in Thailand’s Future” ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พร้อมด้วย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ โดยมีผู้บริหารจากบริษัทระดับโลกเข้าร่วม 30 บริษัท จากสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และสิงคโปร์
บริษัทชั้นนำทั้ง 30 ราย ส่วนใหญ่เป็นบริษัทรายใหม่ที่ได้ตัดสินใจเข้ามาขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีมูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 550,000 ล้านบาท และได้ช่วยสร้างงานให้บุคลากรไทยกว่า 53,000 ตำแหน่ง อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 4 สาขาหลัก ได้แก่ 1) เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เช่น Infineon, Analog Devices, Sony Technology, Haier, Foxsemicon 2) ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ เช่น Changan, BYD, Sunwoda, Continental 3) ดิจิทัล เช่น Google, Tiktok และ 4) อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพและอาหาร เช่น Mead Johnson, Nestle เป็นต้น
การหารือระดับสูงระหว่างผู้นำรัฐบาลและผู้บริหารของบริษัทชั้นนำระดับโลกในครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ภายหลังจากความสำเร็จของทีมไทยแลนด์ในการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา โดยรัฐบาลไทยต้องการสื่อสารให้นักลงทุนต่างชาติได้ทราบถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางความท้าทายจากภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน
นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้ใช้เวที “PM Meets Investors” เน้นย้ำต่อกลุ่มนักลงทุนว่า รัฐบาลไทยพร้อมเดินหน้าเชิงรุก มุ่งเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสในการยกระดับความแข็งแกร่งของระบบนิเวศทางธุรกิจในประเทศ ผ่านมาตรการและกลไกสนับสนุนต่าง ๆ
“รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการรักษาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านกฎระเบียบที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง โดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, EV, ดิจิทัลและ AI การเตรียมความพร้อมด้านพลังงานสะอาดผ่านกลไก Utility Green Tariff และ Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) รวมถึงเร่งขยายความตกลงทางการค้า (FTA) เพื่อเพิ่มโอกาสผลิตภัณฑ์จากไทยเข้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น การหารือร่วมกับบริษัทชั้นนำในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะผลักดันปัจจัยต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เพื่อร่วมกันสร้างรากฐานเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเศรษฐกิจโลก” นายภูมิธรรม กล่าว
ด้านนายลิม เหว่ย กอ รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟินีออน เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการปรับตัว การเปิดรับความร่วมมือ และการเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างภาครัฐและเอกชน ถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทผู้นำในด้านนี้อย่างชัดเจน ผ่านความมุ่งมั่นต่อการสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ การปฏิรูปกฎระเบียบ และการขับเคลื่อนสู่ยุคดิจิทัล ด้วยวิสัยทัศน์และนโยบายของรัฐบาลไทย
นายเอจิ โคอิซูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโซนี่ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในนามของนักลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ขอขอบคุณรัฐบาลไทยสำหรับการเจรจาต่อรองอัตราภาษีนำเข้ากับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ ซึ่งความสำเร็จนี้ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทย
นายอู๋ เสี่ยวคัง รองประธานบริหาร บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีส เอเชีย กล่าวว่า แม้ปัจจุบัน อุตสาหกรรมยังคงเผชิญกับความท้าทายหลากหลายประการ แต่เรายังคงเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศไทย และบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค ฉางอานยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานตามโรดแมปที่ได้วางไว้ในการจัดตั้งศูนย์วิศวกรรมระดับภูมิภาค (Regional Adaptive Engineering Center) โดยมีเป้าหมายในการดึงดูดบุคลากรระดับโลกเข้ามาพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคนิคในประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ขณะที่ นางสาวซู แอน ลิม ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์และนโยบายสาธารณะ Google Cloud APAC กล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลไทย นอกจากนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้พัฒนาคนไทยด้านดิจิทัลและ AI จำนวนกว่า 3.6 ล้านคน เพื่อยกระดับการพัฒนาระบบนิเวศด้านดิจิทัลอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ เนื่องจากพลังงานสะอาดมีความสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์อย่างมาก บริษัทจึงขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับนายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า ที่กล่าวว่า เนสท์เล่มีเป้าหมายที่จะใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนร้อยละ 100 ในโรงงานทุกแห่งในประเทศไทยภายในสิ้นปี 2568
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) ได้ให้ความมั่นใจในที่ประชุมว่ากลไกพลังงานสะอาดทั้งรูปแบบ Utility Green Tariff 2 (UGT 2) และ Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) จะพร้อมให้บริการในปีนี้ เพื่อให้ทันกับความต้องการและการเติบโตของอุตสาหกรรมสมัยใหม่อย่างยั่งยืน