![](https://sp-ao.shortpixel.ai/client/to_auto,q_glossy,ret_img,w_1024,h_536/https://www.phigudkhaow.com/wp-content/uploads/2022/10/เอกจักร-บัวหภักดี-FA-1024x536.jpg)
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (DTCENT) เปิดเผยว่า ผู้บริหารของ DTCENT และที่ปรึกษาทางการเงินได้ร่วมกันจัดโรดโชว์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ให้นักลงทุนแบบสาธารณะ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เข้าใจถึงรายละเอียดของการดำเนินธุรกิจและแผนงานในอนาคต รวมทั้งได้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตของ DTCENT ที่มีโอกาสขยายตัวได้อีกมากภายหลังจากที่ได้ระดมทุนและนำไปใช้เพื่อขยายธุรกิจ ซึ่งบริษัทมีความพร้อมที่จะระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปีนี้ ในหมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
“การโรดโชว์ผ่านระบบออนไลน์ในครั้งนี้ นักลงทุนทั่วไปให้การตอบรับเป็นอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมชมไลฟ์สดอย่างคึกคัก สะท้อนความเชื่อมั่นที่มีต่อ DTCENT ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจให้บริการระบบติดตามยานพาหนะด้วยดาวเทียม GPS โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย (อ้างอิงจากข้อมูลกรมการขนส่งทางบกในเดือนมกราคม 2565) ประกอบกับผลประกอบการที่่ผ่านมา มีการเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงผู้บริหาร DTCENT ได้แสดงวิสัยทัศน์ให้เห็นถึงศักยภาพโดยรวมของธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ฐานะการเงินมั่นคง และในอนาคตยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก หลังจากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้มีศักยภาพมากขึ้น” นายเอกจักรกล่าว
ทั้งนี้ DTCENT มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 305 ล้านหุ้น โดยเป็นการเพิ่มทุนจาก 900 ล้านหุ้น เป็น 1,205 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.31% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด และบริษัทฯ คาดว่า จะเสนอขายหุ้นไอพีโอและเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในปี 2565
DTCENT ประกอบธุรกิจเป็นผู้ออกแบบ ผลิต จัดจำหน่าย และให้บริการเช่าอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะด้วยดาวเทียม (GPS Tracking) รวมถึง ระบบเทเลเมติกส์สำหรับยานพาหนะและซอฟต์แวร์สำหรับบริหารงานขนส่งอย่างครบวงจร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการพัฒนาโครงการไอโอทีโซลูชั่น (IoT Solution) ที่หลากหลายให้แก่ลูกค้าทั้งในภาครัฐบาล และในภาคเอกชน
ปัจจุบัน DTCENT มีบริษัทย่อย 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท วิศวกรรม ซอฟต์แวร์ จำกัด (WS) บริษัท ไทย ดิจิทัลแมพ จำกัด (TDM) และบริษัท ดี คอร์ ซิสเต็ม อินทิเกรเตอร์ จำกัด (DCORE) โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 90.00 ร้อยละ 95.00 และ ร้อยละ 90.00 ตามลำดับ
![](https://sp-ao.shortpixel.ai/client/to_auto,q_glossy,ret_img,w_1024,h_536/https://www.phigudkhaow.com/wp-content/uploads/2022/10/DTCENT_คุณทศพล-คุณะเพิ่มศิริ-CEO-1024x536.jpg)
นายทศพล คุณะเพิ่มศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) (DTCENT) กล่าวว่า วัตถุประสงค์การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ในการลงทุนสร้างศูนย์บริหารจัดการและบริการข้อมูลยานพาหนะ (Vehicle Monitoring and Support Center) และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ
บริษัทฯ ได้รับความร่วมมือจาก 2 พันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ ประกอบด้วย บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) ถือหุ้นใน DTCENT จำนวน 18% ก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) โดย YES จะร่วมพัฒนาให้ DTCENT เป็น Tier 1 Supplier ในการดำเนินธุรกิจ OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ถือหุ้นจำนวน 15% ก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) ซึ่งถือเป็นพันธมิตรหลักที่จะเข้ามาส่งเสริมเพิ่มศักยภาพ ให้แก่บริษัทในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนและเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการโลจิสติกส์
นอกจากธุรกิจ GPS Tracking แล้วกลุ่มบริษัทฯ มีแผนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเป็นระบบอัจฉริยะในกลุ่มงาน IoT อันประกอบด้วย ระบบบริหารจัดการน้ำ, ระบบ SMART CITY SOLUTION หรือระบบบริหารการจัดการองค์กรส่วนท้องถิ่น, BAMS (Business Activity Management System), BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform และระบบ AI สำหรับงาน IoT
“การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตของ DTCENT ให้บริษัทฯ มีความมั่นคงด้านฐานการเงินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลมากขึ้น และด้วยประสบการณ์ของทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า 25 ปี รวมถึงมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง จึงมั่นใจว่า ในอนาคตบริษัทฯ มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า ลูกค้า รวมถึงสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น” นายทศพล กล่าว