เมื่อวันที่ 18 กค. พื้นที่ อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อน ปฏิบัติการ 120 วัน อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้พืชกระท่อมในทางที่ผิด อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพและสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและวัยรุ่น ซึ่งถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญที่ต้องได้รับการป้องกันอย่างเร่งด่วน
จากการที่เจ้าหน้าที่ปกครองได้สำรวจและลงพื้นที่ พบว่าในเขตพื้นที่อำเภอไม้แก่น ยังไม่มีการจำหน่ายใบกระท่อมหรือน้ำกระท่อมบริเวณริมถนนสายหลัก ถนนสาย 42 รวมถึงตามชุมชนต่าง ๆ ก็ยังไม่พบพฤติกรรมการค้าหรือใช้ในลักษณะที่ผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวก และสะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ที่ร่วมกันควบคุมและป้องกันปัญหาดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ

แม้สถานการณ์ในพื้นที่นี้ยังไม่พบการแพร่ระบาดอย่างชัดเจน แต่อำเภอไม้แก่นยังคงไม่ปล่อยปะละเลยหรือประมาทแต่อย่างใด ด้มีการดำเนินการเชิงรุกผ่านการบูรณาการร่วมกับผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา และประชาชน เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโทษของการใช้พืชกระท่อมในทางที่ผิด โดยเฉพาะในกรณีที่มีการต้มดื่มน้ำกระท่อมผสมกับยาแก้ไอ ซึ่งเป็นพฤติกรรมต่อสุขภาพที่รุนแรง รวมถึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของพฤติกรรมใช้สารเสพติดอื่นๆตามมาอีกด้วย
หนึ่งในมาตรการที่อำเภอให้ความสำคัญ คือ การเข้าถึงกลุ่มเยาวชนผ่านกิจกรรมระดับหมู่บ้าน โดยการจัดเวทีพูดคุย มุ่งให้ประชาชนและผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูล สื่อสาร และปลูกฝังแนวคิดเชิงป้องกันให้แก่บุตรหลาน ไม่ให้เยาวชนตกเป็นเหยื่อของกระแสการบริโภคพืชกระท่อมและน้ำกระท่อมที่ถูกชักจูงจากเพื่อนฝูง โดยพบว่าประชาชนให้การร่วมมือเป็นอย่างดี และพร้อมที่จะต่อต้านพืชกระท่อมไม่ให้มีอยู่ในพื้นที่ต่อไป

นางยูลีฮา สือรีซอ ปลัดปกครองอำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่พบการจำหน่ายพืชกระท่อมหรือน้ำกระท่อมในพื้นที่ จากการลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำศาสนา โดยได้สุ่มตรวจร้านค้าและร้านของชำในหลายหมู่บ้าน ซึ่งผลการตรวจอย่างต่อเนื่องไม่พบการจำหน่ายแต่อย่างใด พร้อมย้ำว่าเจ้าหน้าที่จะยังคงลงพื้นที่ตรวจสอบเป็นประจำทุกวัน
ทั้งนี้ ได้ขอความร่วมมือผู้นำศาสนาและผู้นำชุมชนช่วยกันตักเตือนเยาวชนให้ตระหนักถึงโทษของการดื่มน้ำกระท่อม ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยง เช่น การใช้สารเสพติด การกระทำผิดกฎหมาย และการก่ออาชญากรรมในระยะยาว

ปลัดอำเภอ กล่าวว่า อยากให้ทั้งผู้ค้าและประชาชนคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับลูกหลานของเรา เพราะปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก อาจลุกลามจากบ้านหนึ่งไปสู่ทั้งหมู่บ้าน และกลายเป็นปัญหาระดับประเทศได้
ข่าว/ภาพ : ตอริก สหสันติวรกุล ผู้สื่อข่าวจังหวัดปัตตานี
