
“น้องเอเปค” นาถวัฒน์ ลิ้มสกุล นักศึกษาทุน กสศ. ที่กำลังจะเรียนจบปริญญาตรี คณะพัฒนาการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นตัวแทน “เครือข่ายเยาวชนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” ได้เสนอแนวนโยบายต่อ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี บนเวที “นโยบาย BY เยาวชน: เปลี่ยนทำเนียบเป็นพื้นที่แห่งความหวัง เปิดบ้าน ครม. ร่วมสร้างการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายของคนรุ่นใหม่” ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา
น้องเอเปค ได้นำเสนอนโยบาย “Learning Passport” หรือ “บัตรประชาชนแห่งการเรียนรู้” เพื่อเป็นหลักประกันโอกาสทางการศึกษา พาเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ฟรีได้ตลอดชีวิต เปรียบเสมือน “บัตรทอง” หรือบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ดูแลรักษาทุกคนได้อย่างครอบคลุม

เขาเล่าแทนเพื่อน ๆ อีกหลายล้านชีวิตที่เกิดมาในบ้านที่ขาดแคลน ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโอกาสเรียนพิเศษ หรือแม้กระทั่งโอกาสในการศึกษา แต่เด็กทุกคนต่างก็มีความฝันของตัวเอง เพียงแต่ขาด “สะพานโอกาส” ที่จะพาพวกเขาไปถึงฝั่งฝัน ซึ่งเป้าหมายของการสร้าง Learning Passport ก็คือการเป็นสะพานเชื่อมโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กทุกคน โดยเฉพาะเด็กยากจนและเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา
“ปัจจุบันเรามีบัตร 30 บาทรักษาทุกโรคใช่ไหมครับ แต่เรายังไม่มี ‘บัตรแห่งการเรียนรู้’ ที่จะรับประกันให้ได้ว่าเด็กทุกคนจะเติบโตตามศักยภาพของเขาครับ เราอยากให้บัตรประชาชนใบเดียวสามารถทำให้เด็กเยาวชนทุกคนเข้าถึงทุก ๆ สวัสดิการ โดยเฉพาะการศึกษา”

น้องเอเปค กล่าวว่า จากสถิติพบว่า ประเทศไทยยังมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษากว่า 8.8 แสนคน และอีกกว่า 3 ล้านคนเป็นเด็กที่อยู่ในกลุ่มยากจนถึงยากจนพิเศษ ซึ่งในกลุ่มนี้ที่จบ ม.3 มีเพียง 13% เท่านั้นที่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ตัวเลขนี้ไม่ใช่เพราะเด็กอีก 87% ขาดศักยภาพ แต่เพราะพวกเขาขาด “โอกาส” ซึ่งเขาเองก็เคยเกือบเป็นหนึ่งในเด็กกลุ่มนั้น
เขาเชื่อว่า “หากนโยบาย Learning Passport เกิดขึ้นจริง จะทำให้การศึกษาเดินเข้าไปหาเด็ก แทนที่จะรอให้เด็กร้องขอ”
น้องเอเปค ขยายความว่า Learning Passport จะเป็นรหัสประจำตัวแห่งการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงข้อมูลจากหลายหน่วยงานเข้าด้วยกัน เพื่อให้ภาครัฐสามารถติดตามและให้ความช่วยเหลือเด็กทุกคนได้อย่างทันท่วงที โดยใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลักเป็นศูนย์กลางในการจัดการเรียนรู้และสวัสดิการด้านการศึกษา ทำให้การศึกษามีความยืดหยุ่นและตอบสนองความหลากหลายของเด็กแต่ละคนได้ดีขึ้น

“ถ้าเราสามารถใช้เลข 13 หลักของบัตรประชาชน โอนทุนการศึกษา หรือจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น มีทางเลือกที่ตอบโจทย์ชีวิตให้เด็กเยาวชนได้ง่าย ๆ เหมือนการโอนเงินผ่าน PromptPay การได้เรียนจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเด็ก ที่จะเติบโตเป็น ‘พลเมืองที่พร้อมเติบโตเพื่อส่วนรวม’ อย่างตัวผมเองที่ตอนนี้มีภาพฝันที่กว้างขึ้น และตั้งใจจะกลับไปเป็นนักพัฒนาการท่องเที่ยวในชุมชนของตัวเอง”
นโยบาย Learning Passport สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที เพราะปัจจุบัน กสศ. มีระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ iSEE ที่สามารถระบุตัวตนนักเรียนยากจนพิเศษและเด็กเยาวชนที่หลุดจากระบบการศึกษา เพื่อให้เข้าถึงสิทธิและสวัสดิการด้านการศึกษาได้อย่างแม่นยำ

“ผมหวังว่านโยบายนี้จะกลายเป็นสะพานเล็ก ๆ ที่พาเด็กอีกนับล้านคนก้าวข้ามจากปลายหน้าผาแห่งความฝัน ไปสู่ฝั่งของโอกาส โดยไม่ต้องยืนเดียวดายและกลัวว่าจะร่วงหล่นอีกต่อไปครับ”
ภายหลังการนำเสนอ นายภูมิธรรม กล่าวกับเยาวชนที่เข้าร่วมว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเสียงของเด็กและเยาวชน และข้อเสนอที่ได้ฟังในวันนี้จะไม่หยุดอยู่เพียงแค่ในเวทีนี้ แต่จะนำไปพัฒนาและผลักดันต่อเป็นนโยบายสาธารณะ เพื่อให้เด็กทุกคนในประเทศไทยได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
