
นายชิบ จิตนิยม อนุกรรมการเสริมสร้างความรู้ในวงงานนิติบัญญัติ วุฒิสภา เปิดเผยว่า คณะกรรมการวิจัยและพัฒนาของวุฒิสภา ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา จัดงาน “วันวิชาการสู่งานนิติบัญญัติ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ” เมื่อวันที่ 8–9 กันยายน 2568 ณ อาคารรัฐสภา โดยมีนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง เป็นประธานเปิดการสัมมนาฯ มีเป้าหมายเพื่อสร้างเวทีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ผลักดันงานวิจัยสู่งานนิติบัญญัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและการพัฒนาประเทศ โดยมี สมาชิกวุฒิสภา บุคลาการสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และผู้ปฏิบัติงานของสมาชิกวุฒิสภา เข้าร่วมสัมมนาฯ พร้อมด้วยเครือข่ายหน่วยงานวิจัยกว่า 18 สถาบัน อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สถาบันพระปกเกล้า มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ม.ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ม.เกษตรศาสตร์ ม.ราชภัฏสกลนคร ฯลฯ

นายชิบ กล่าวว่า หัวข้อที่สำคัญมากสำหรับการพัฒนาประเทศนั่นคือ บทบาทหน่วยงานเครือข่ายกับการสร้างสรรค์งานวิจัย : สู่การใช้ประโยชน์ในวงงานนิติบัญญัติ เราคงเคยได้ยินคำว่า “งานวิจัยบนหิ้ง” หมายถึงงานวิจัยที่ทำเสร็จ มีการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการและก็จบอยู่แค่ในห้องสมุด ไม่มีใครนำไปใช้ประโยชน์ต่อเพื่อแก้ปัญหาจริงๆในสังคม อย่างไรก็ตามยังมีงานวิจัยสำคัญๆสามารถนำไปสู่การปฏิบัติจริง เปลี่ยนนโยบาย เปลี่ยนกฎหมาย หรือเปลี่ยนชีวิตประชาชนได้อย่างยั่งยืน
“หัวใจสำคัญของการทำให้งานวิจัยจาก “หิ้ง” ลงมา “สู่พื้น” ได้จริง คือการทำงานร่วมกันของหน่วยงานเครือข่ายวงจรที่ต้องมี 3 กลุ่มหลักทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 1.กลุ่มผู้ให้ทุน เช่น สกสว. วช. บพข.ที่มีบทบาทจัดสรรเงินทุนและกำหนดทิศทางวิจัย 2.กลุ่มผู้ดำเนินการวิจัย เช่น มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ลงมือทำวิจัยหาคำตอบเชิงวิชาการ และ 3.กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ เช่น รัฐสภา กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่นำงานวิจัยไปใช้ในการออกกฎหมายหรือกำหนดนโยบาย

สว.ชิบ กล่าวว่าการใช้ประโยชน์ในวงงานนิติบัญญัติไม่ได้หมายความแค่การออก พระราชบัญญัติ เท่านั้น แต่รวมถึงทุกสิ่งที่ มีผลบังคับใช้ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น พระราชกำหนด มติ ครม. ข้อบัญญัติท้องถิ่น ระเบียบกระทรวง หรือแม้แต่แผนแม่บทแห่งชาติ ซึ่งการแบ่งปันประสบการณ์และมุมมอง ตลอดจนรับทราบบทบาท อำนาจหน้าที่และข้อเสนอแนะต่างๆของเครือข่ายหน่วยงานวิจัยกว่า 18 สถาบัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อวงงานวุฒิสภา
“งานสัมมนาครั้งนี้เราได้เห็นภาพที่ชัดเจนร่วมกันว่า การทำให้งานวิจัยลงจาก “หิ้ง” สู่ “พื้น” และส่งผลต่อการออกกฎหมายได้จริงนั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างแข็งขันจากทั้ง 3 ภาคส่วน คือ ผู้ให้ทุน ผู้วิจัย และผู้ใช้ประโยชน์ หากทุกหน่วยงานร่วมมือกันอย่างจริงจัง เชื่อว่าเราจะสามารถเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน สร้างสะพานที่แข็งแรงระหว่างโลกของงานวิจัยกับโลกของการออกกฎหมาย และทำให้งานวิจัยของไทยทุกชิ้นไม่เพียงแต่วางอยู่บนหิ้ง แต่สามารถลงสู่พื้นเปลี่ยนแปลงสังคมและประเทศชาติได้อย่างแท้จริง” อนุกรรมการเสริมสร้างความรู้ในวงงานนิติบัญญัติ วุฒิสภา กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ คณะกรรมการวิจัยและพัฒนาของวุฒิสภา สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และเครือข่ายหน่วยงานวิจัยกว่า 18 สถาบันได้จัดภาคนิทรรศการ ณ โถงหน้าห้องประชุมวุฒิสภา ชั้น 2 เพื่อแสดงตัวอย่างความสำเร็จผลงานวิจัย อาทิ สกสว.วิจัยเรื่องฝุ่น PM 2.5 นำไปสู่นโยบายการบังคับใช้มาตรฐานไอเสีย Euro 5 มีการห้ามเผาในที่โล่งใน 5 จังหวัดภาคเหนือ อีกตัวอย่างคือ งานวิจัยเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) และผลงานวิจัยของ วว.เรื่องใช้เชื้อรา บำบัดน้ำเสีย งานวิจัยเหล่านี้ถูกรวมเป็น แผนแม่บท BCG และบรรจุใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13
งานวิจัยของ วช.ที่สำคัญคือ งานวิจัยกัญชาทางการแพทย์ ศึกษาประสิทธิภาพสาร CBD (สารแคนนาบินอยด์ที่ไม่มีฤทธิ์มึนเมา) ในการรักษาโรคลมชักในเด็ก ใช้กัญชาในผู้ป่วยมะเร็ง นำไปสู่การแก้ไข พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ทำให้กัญชาถูกปลดล็อกเพื่อการแพทย์ รวมทั้งงานวิจัยฟื้นฟูชุมชนหลังโควิด-19 ของ วช.ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนหลังโควิด 120 โครงการทั่วประเทศ พบว่า การเปิดตลาดนัดกลางคืน ช่วยฟื้นเศรษฐกิจชุมชนได้เร็วกว่าการแจกเงิน

บพข.มีงานวิจัย พบว่าน้ำมันพืชใช้แล้วสามารถนำมา รีไซเคิล เป็นไบโอดีเซล ลดการปล่อยคาร์บอนได้ นำไปสู่นโยบาย B20 น้ำมันดีเซลผสมไบโอดีเซลบังคับใช้ในรถบรรทุกตั้งแต่ปี 2563 หรืองานวิจัยวัสดุชีวภาพ (Bioplastic) งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ BIOTEC พัฒนาพลาสติกจาก แป้งมันสำปะหลัง และ เซลลูโลสจากฟางข้าว พบว่า ย่อยสลายได้ใน 6 เดือน ขณะที่พลาสติกทั่วไปใช้เวลา 450 ปี นำไปสู่มาตรการห้ามใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ตั้งแต่ปี 2563
สำหรับ สถาบันพระปกเกล้าในฐานะคลังสมองของสภา มีตัวอย่างงานวิจัยที่ส่งผลต่อการออกกฎหมายโดยตรง เช่น งานวิจัยปฏิรูปการเมืองและกฎหมายเลือกตั้ง งานวิจัยโมเดลการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมปี 2562 งานวิจัยการมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านกลไกประชาธิปไตยทางตรง งานวิจัยเรื่อง การเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชน นำไปสู่การออก พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2564 กำหนดให้ประชาชนเข้าชื่อ 10,000 คน สามารถเสนอร่างกฎหมายต่อสภาได้

ส่วนมหาวิทยาลัยบูรพามีตัวอย่างงานวิจัยที่ส่งผลต่อนโยบายสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยว เช่น งานวิจัยการจัดการทรัพยากรชายฝั่งและปะการัง การฟื้นฟูปะการังด้วยโครงสร้างเทียม งานวิจัยนำไปสู่ ประกาศกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ห้ามทอดสมอเรือในพื้นที่ปะการัง และ แผนจัดการพื้นที่ชายฝั่งแห่งชาติ