
เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคประชาชน จัดงานเปิดนโยบายในหัวข้อ “ความมั่นคงใหม่ เศรษฐกิจใหม่ บริหารประเทศแบบใหม่ ไทย.ทัน.โลก” โดยในหัวข้อความมั่นคงและการต่างประเทศ มีผู้ร่วมเสนอนโยบายได้แก่ นายรังสิมันต์ โรม รองหัวหน้าพรรคประชาชน และแขกรับเชิญที่มาร่วมแลกเปลี่ยน คือ ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ นักวิชาการด้านการต่างประเทศ และนายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทย

ดร.ฟูอาดี้ เริ่มต้นโดยระบุถึงความท้าทายของการเมืองโลกยุคปัจจุบัน ที่อยู่ในภาวะที่มหาอำนาจหลักอย่างสหรัฐฯ และจีนไม่เพียงขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น แต่ยังอยู่ในสภาวะ “disengagement” หรือการถอยห่างจากกติกาและหลักกฎหมายหรือกรอบองค์การระหว่างประเทศ แต่ละชาติมหาอำนาจมีแนวโน้มที่จะกระทำการใดๆ ก็ได้แม้ละเมิดกติกาสากล เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง โดยเน้นการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ มากกว่ารักษาหลักการคุณค่าพื้นฐานด้านความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน และช่วงชิงความได้เปรียบผ่านการสกัดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูงผ่านการครอบครองระบบห่วงโซ่อุปทาน หรือ Global Supply Chain โดยเฉพาะในด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งทำให้ประเทศขนาดกลางอย่างไทย ยิ่งตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก เพราะสภาพระบบนิเวศเช่นนี้บังคับให้ประเทศขนาดกลางต้องเลือกข้าง ระหว่างสหรัฐฯ และจีน

ดร.ฟูอาดี้กล่าวอีกว่า ท่ามกลางการแข่งขันกันทั้งมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม หรือ Soft Power อาเซียนเป็นภูมิภาคที่มหาอำนาจสองฝ่ายแข่งขันกันเข้มข้นที่สุดภูมิภาคหนึ่ง และกำลังถูกผลักให้เลือกข้างมากขึ้นเรื่อยๆ อาเซียนไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เลือกยืนข้างสหรัฐฯ ในขณะที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ไปทางจีนค่อนข้างมาก ส่วนไทย ถือว่าก้ำกึ่งระหว่างสองฝ่าย สะท้อนว่าไทยยังกังวลกับผลประโยชน์ที่ได้จากทั้งสองประเทศ

“คำถามคือ แล้วเราต้องเลือกไหม? คำตอบที่ดีที่สุดคือเราไม่จำเป็นต้องเลือก แต่ต้องมีอำนาจพอที่จะไม่เลือก ไทยต้องมีความเป็น agency หรือเป็นผู้เล่นที่มีอำนาจต่อรอง ไม่ใช่เบี้ยที่ถูกบังคับให้เดินตามเกมมหาอำนาจ การจะมีอำนาจต่อรอง ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบภายในประเทศ ประกอบด้วย 1. เพิ่มความชอบธรรมทางการเมือง เป็นวัคซีนป้องกันการแทรกแซงจากมหาอำนาจ 2. เพิ่มอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจ เป็นทุนนิยมที่เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มอำนาจการดึงดูดทางเศรษฐกิจของประเทศ 3. ใช้ค่านิยมสากลเป็นอาวุธ สิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคทางเพศไม่ใช่แค่ค่านิยม แต่เป็นอำนาจต่อรองของประเทศ 4. ใช้กลไกอาเซียนให้เป็น ตีความหลักไม่ก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศใดเสียใหม่ เพื่อสร้างอำนาจต่อรองร่วม (collective bargaining power) เพื่อให้เราไม่ถูกบีบจากมหาอำนาจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากทำทั้ง 4 ข้อนี้ได้ เราจะมีความเป็น agency เลือกทางเดินได้ ต่อรองได้ ไม่ตกอยู่ภายใต้เกมมหาอำนาจ”

ด้านนายรังสิมันต์ โรม ฉายภาพภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่ ไร้ตัวตน อยู่นอกประเทศ โดยย้ำว่าเรากำลังเผชิญกับองค์กรอาชญากรรมระหว่างประเทศที่กลไกในประเทศของเราทำร้ายคนไทยด้วยกัน ผ่านการชักใยสร้างเครือข่ายกับผู้มีอำนานาจในไทย วิธีการต่อสู้กับภัยคุกคามใหม่นี้ ไม่ใช่การใช้กำลังอาวุธแสนยานุภาพกองทัพ แต่ต้องใช้เทคโนโลยี การทูต และการจัดการเครือข่ายอิทธิพลในการเมืองและระบบราชการไทยที่ปกป้องให้ความคุ้มครององค์กรอาชญากรรมเหล่านี้

“เรากำลังเผชิญกับสงครามลูกผสม หรือ hybrid warfare อาชญากรรมไซเบอร์กลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจที่สร้างความปั่นป่วนเสียหายทั้งต่อทรัพย์สิน ความมั่นคงปลอดภัยต่อชีวิตประชาชน และชื่อเสียงเกียรติภูมิของประเทศ มีคดีสแกมเมอร์ในไทยกว่าล้านคดี แต่ละคดีมีต้นทุนในการทำประมาณ 10,000 บาท เราเสียทั้งงบประมาณ กำลังคน ในขณะที่คนไทยก็ไม่ได้เงินคืน กลายเป็นความเสียหายมหาศาล เพียง 12 เดือนที่ผ่านมา เสียหายไปแล้ว 115,000 ล้านบาท ถือว่าเราเป็นประเทศที่ได้รับความเสียหายติดทอป 3 ของโลก”
นายรังสิมันต์ ยังเตือนว่า การปราบสแกมเมอร์เป็นอาวุธหลักเพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติของไทย เพราะเป็นการจัดการต้นตอระบอบฮุน เซน ที่เกี่ยวโยงกับผู้มีอำนาจไทย ปราบทั้งอาชญากร ปราบปัญหาไทยกัมพูชา ปราบกลุ่มทุนเทาและข้าราชการเทา นักการเมืองเทาในประเทศไทยไปพร้อม ๆ กัน เพราะฉะนั้นอย่าหลงเหลี่ยมฮุน เซน ให้ทหารไทยต้องไปพลีชีพ พลีขา ในปัญหาชายแดนที่ฮุน เซน ตั้งใจก่อกวนเพื่อเบี่ยงประเด็นจากภารกิจปราบสแกมเมอร์ที่ทั่วโลกกำลังรุมถล่มกัมพูชาร่วมกัน

“เราต้องเปลี่ยนความเจ็บปวดเป็นโอกาส สร้างบทบาทในเวทีโลก โดยใช้ประเด็นสแกมเมอร์เป็นอาวุธหลัก เร่งสร้างบทบาทนำในเวทีโลกในฐานะชาติผู้นำการปราบปรามสแกมเมอร์ มีทิศทางและยุทธศาสตร์ชัดเจน จากเดิมที่เราเป็นเหยื่อ เราก็จะลุกขึ้นมาเอาชนะได้ และสร้างบทบาทที่มีศักดิ์ศรีในเวทีโลกได้”นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์เสนอ 3 ยุทธศาสตร์พลิกสแกมเมอร์เป็นโอกาส ดังนี้
ชั้นที่ 1 (ระดับในประเทศ): ทำให้ประเทศไทย “ยากจะถูกยึด” ด้วยทุนสีเทา – สร้างภูมิคุ้มกันภายใน ไม่ให้ขบวนการเหล่านี้เข้ามาครอบงำได้ง่าย โดย จัดตั้ง War Room หรือศูนย์ปฏิบัติการแห่งชาติ เพื่อต่อต้านแก๊งสแกมเมอร์และการฟอกเงินโดยเฉพาะ, ตีเส้นแดงด้านการเงิน – ปิดประตูฟอกเงินทุกช่องทาง ยกระดับมาตรการ Know Your Customer (KYC) และ Anti-Money Laundering (AML) ในสถาบันการเงินและแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลทุกแห่ง บัญชีธนาคารทุกบัญชีต้องมีตัวตนที่ตรวจสอบได้ ธุรกรรมที่ดูผิดปกติต้องถูกจับตาทันที, ยึดทรัพย์ก่อน–ค่อยคุยทีหลัง สำหรับอาชญากรรมข้ามชาติ หลักการคือ “Follow the money” เงินไปไหน เราตามยึดไปที่นั่น ตั้งหน่วยเฉพาะกิจยึดทรัพย์ ทำงานเชิงรุก นำโดย ปปง. ร่วมกับตำรวจและอัยการ

ชั้นที่ 2 (ระดับชายแดน-ภูมิภาค): เสริมสร้างภูมิรัฐศาสตร์บริเวณชายแดนและลุ่มน้ำโขงของเราให้กลายเป็น “ด่านหน้าของโลก” ในการสกัดกั้นอาชญากรรมข้ามชาติ – เปลี่ยนชายแดนที่เคยเปราะบางให้แข็งแกร่งและเป็นแนวหน้าป้องกันภัย ตั้งศูนย์แลกเปลี่ยนข่าวกรองอนุภูมิภาคแม่โขง, เดินเกมการทูตทั้งบนโต๊ะและหลังฉาก: ในด้านเปิด เราจะใช้ เวทีอาเซียน และเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาคที่มีอยู่ เช่นการประชุมรัฐมนตรี, ASEANAPOL (ตำรวจอาเซียน), ด้านหลังฉาก ไทยจะตั้ง คณะทำงานทวิภาคี เฉพาะกิจกับแต่ละประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อขับเคลื่อนคดีหรือภารกิจที่เป็นจุดเด่น เช่น กรณีค่ายหลอกลวงในเมืองปอยเปต (กัมพูชา) เขตคาสิโนสีหนุวิลล์ หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ
ชั้นที่ 3 (ระดับระหว่างประเทศ-โลก): ทำให้ “โลกทั้งใบ” กลายเป็นพันธมิตรของไทย – ใช้พลังของความร่วมมือระหว่างประเทศ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางและเป็นผู้นำในความพยายามแก้วิกฤตินี้ในระดับโลก ผลักดันกรอบความร่วมมือใหม่ในอาเซียน: ไทยจะเสนอให้ที่ประชุมอาเซียนจัดทำ “แผนปฏิบัติการร่วม” ด้านการปราบสแกมเมอร์–ฟอกเงิน–ค้ามนุษย์ ที่ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกัน (เช่น ให้ความรู้ประชาชน การบล็อกเบอร์และเว็บไซต์หลอกลวง) ไปจนถึงการปราบปราม (การแลกเปลี่ยนพยานหลักฐาน การส่งผู้ร้ายข้ามแดน) และการเยียวยาเหยื่อ นอกจากนี้ควรจัดตั้งฐานข้อมูลอาชญากรข้ามชาติและบัญชีดำกลางอาเซียน เพื่อให้ตรวจสอบประวัติคนต้องสงสัยได้รวดเร็ว และไทยพร้อม เป็นเจ้าภาพตั้ง “ศูนย์ประสานงานอาชญากรรมไซเบอร์อาเซียน” (ASEAN Cybercrime Coordination Center), จับมือกับประเทศนอกภูมิภาคที่มีเทคโนโลยีสูง: เราจะทำ บันทึกความเข้าใจ (MOU) แลกเปลี่ยนข้อมูลและเทคโนโลยีกับประเทศมหาอำนาจด้านไซเบอร์ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และชาติยุโรปอื่นๆ ในคดีใหญ่ๆ ที่มีหลายชาติพัวพัน เราจะชวนเขามาตั้ง Joint Investigation Team หรือคณะทำงานสอบสวนร่วมระหว่างประเทศ เพื่อแชร์เบาะแสและเดินคดีไปพร้อมกัน

ด้าน นายพิศาล มาณวพัฒน์ เสนอแนะแนวทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศในหัวข้อ “การทูตสง่างาม ไปตามผลประโยชน์ชาติ” โดยเริ่มจากการฉายภาพว่าการทูตไทยตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีภาพความสง่างาม ได้รับความเกรงใจหรือนับถือในเวทีระหว่างประเทศ ไม่มีผู้นำชาติใหญ่ๆ กระตือรือร้นอยากมาเยือน ทั้งที่ในยุค 20 ปีที่แล้ว ไทยมีส่วนสำคัญที่ทำให้อาเซียนผลาดขึ้นมามีบทบาทในเวทีโลก และสร้างพลังต่อรองในระดับภูมิภาคได้เป็นอย่างดี
“แล้วการต่างประเทศไทยจะสง่างามได้อย่างไร ผมเห็นด้วยกับมีไทยไม่มีเทา เทาไม่ใช่เฉพาะสแกมเมอร์ แต่เป็นการทุจริตคอรัปชั่นทั้งหมด ยกตัวอย่างสิงคโปร์ ที่เริ่มต้นจากหมู่บ้านเล็กๆ การทุจริตเต็มประเทศ แต่รัฐบาลจัดการอย่างเป็นระบบให้ประเทศปลอดคอรัปชั่น จนสิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้ แม้แต่จีนก็เดินตาม มุ่งจัดการการคอรัปชั่น หากไทยจัดการคอรัปชั่นได้ ใครๆ ก็อยากมาคบค้า มาลงทุน นอกจากนี้ มีไทยยังต้องมีมิตรภาพนุ่มนวล แต่เข็มแข็งยึดมั่นในหลักการ ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน มีไทยต้องมีพลังต่อรองทางการทูต โดยอาศัยแรงส่งจากรัฐบาลที่เข้มแข็งและได้รับความชอบธรรมจากภายในประเทศ”
นายพิศาล ย้ำว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของการต่างประเทศไทย คืออย่าโปรสหรัฐ อย่าโปรจีน เราต้องโปรไทย ยึดมั่นในผลประโยชน์ของคนไทยมาเป็นที่หนึ่ง ซึ่งจะทำเช่นนั้นได้ต้องสร้างพลังต่อรอง และการสร้างพลังต่อรองต้องทำตลอดเวลา ทำต่อเนื่อง เช่นเรื่องแรเอิร์ธ เราต้องรู้จักต่อรอง เมื่อสหรัฐฯ ยื่นให้ แปลว่าเขาเห็นว่าเรื่องนี้สำคัญ เราต้องรู้จักเล่นให้เป็น ต่อรองให้ได้เพื่อผลประโยชน์ของคนไทยพิศาลยังเสนอว่ากระทรวงต่างประเทศไม่ใช่กระทรวงเกรด C ขอให้พรรคประชาชนพิจารณาจัดไว้ในกระทรวงเกรด A Platinum บรรจุรัฐมนตรีต่างประเทศไว้ในทีมงานด้านความมั่นคง และทีมเศรษฐกิจด้วย แม้กระทรวงนี้จะไม่ได้ออกใบอนุญาต ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงหาโอกาสของไทยในเวทีโลก ที่สำคัญ นโยบายภายในและนโยบายต่างประเทศต้องเป็นเนื้อเดียวกัน การดำเนินการทางการทูตของไทยต้องเป็นไปเพื่อรับใช้นโยบายภายในของไทย อย่าต่างคนต่างกระทรวงต่างทำ เพราะจะทำให้ชาติเสียประโยชน์อย่างมหาศาล

“นายกรัฐมนตรีต้องคิด พูด ทำ เดินหมากการทูตเป็นเนื้อเดียวกับรัฐมนตรีต่างประเทศ ไม่ใช่ปล่อยให้รัฐมนตรีทำ ทูตทำ ส่วนนายกฯ ไปอีกทาง เช่น เราบอกว่าแอฟริกาเป็นตลาดใหม่ที่สำคัญ แต่กลับไม่มีใครอยากไปเป็นทูตที่แอฟริกา การมอบนโยบายจากรัฐบาลไม่มี แม้แต่การพิจารณาจ้างลูกจ้างท้องถิ่นเพิ่มก็เป็นเรื่องสำคัญ หากคิดว่าไทยจะต้องบุกตลาดแอฟริกาจริงๆ ก็ต้องทำอย่างสอดประสาน มีแผนจากรัฐบาลกลางให้ชัดเจน และทำงานเป็นทีม หรือหากเรามีแผนจริงๆ ว่าต้องฟื้นฟูอาเซียน ทำให้ไทยกลับมามีบทบาทนำในอาเซียน ก็ต้องมีแผนที่ชัดเจนว่านายกฯ จะต้องทำอะไร รัฐมนตรีและทูตประจำประเทศสมาชิกอาเซียน ต้องมีแผนงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว” นายพิศาลกล่าว
นายพิศาลยืนยันว่าการต่างประเทศไทย แม้เราจะเป็นมิตรกับทุกประเทศ แต่เพื่อนบ้านต้องมาก่อน เพราะผลประโยชน์หลักของเราอยู่ที่ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านรอบข้าง กรณีไทย-กัมพูชา ยิ่งเน้นให้เห็นชัดเจนว่าหากเราจัดการความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านไม่ดี ก็จะกระทบกับคนไทยทั้งประเทศ ส่วนความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ชัดเจนว่าเรามีผลประโยชน์จากการค้าขายได้ดุลปีละหลักล้านล้านบาท เราจึงต้องโฟกัสที่การสร้างไพ่ต่อรอง สร้างผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่เป็นพันธมิตรหรือต่อต้านปิดล้อมประเทศใด ส่วนความสัมพันธ์กับจีน เราก็ต้องรักษาไว้ในฐานะมหาอำนาจใกล้ตัวในภูมิภาค เป็นทางเลือกด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี แต่อย่าพึ่งพาจนกลายเป็นมณฑลหนึ่งของระบบเศรษฐกิจจีน และสุดท้าย เราต้องแสวงหาพันธมิตรในกลุ่มมหาอำนาจใหม่เพื่อถ่วงดุลและสร้างทางเลือก เช่นอินเดีย ตะวันออกกลาง และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ
