
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อสังเกตที่ว่าหากรัฐบาลอยู่ไม่ครบ 4 เดือนจะกระทบต่อไทม์ไลน์การแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ว่า “ไม่เกี่ยวกัน” เพราะเป็นกระบวนการของรัฐสภา แต่หากมีการยุบสภาก่อนเท่านั้น กระบวนการจะชะงักลงทันที อย่างไรก็ตาม หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) แล้วเกิดการเปลี่ยนรัฐบาล สภาก็สามารถดำเนินการต่อได้ ส่วนรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งยังสามารถขอหยิบยกร่างเดิมขึ้นมาพิจารณาภายใน 60 วัน
นายบวรศักดิ์ยังกล่าวถึง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับใหม่ ที่อยู่ระหว่างการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ว่า จะครบกำหนด 90 วันในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ แต่จะมีพระราชทานโปรดเกล้าฯ หรือไม่นั้น เป็นพระราชอำนาจ “อย่าไปบังอาจเดา” พร้อมระบุว่า หากยังใช้ พ.ร.บ.ประชามติ พ.ศ.2564 เดิม ไทม์ไลน์จะเร็วกว่า แต่ถ้าฉบับใหม่ได้รับโปรดเกล้าฯ ก่อน 3 พ.ย. ก็จะทำให้สภามีเวลาขยายเพิ่มอีกประมาณ 1 เดือน
รองนายกฯ ย้ำว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลจะ “สนับสนุนหรือไม่สนับสนุน” แต่เป็นหน้าที่ของสภาและพรรคการเมือง ส่วนรัฐบาลมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ คือ เมื่อร่างผ่านรัฐสภาแล้ว ต้องดำเนินการจัดให้มีประชามติ โดยจะมีคำถามหลักคือ
- เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
- เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับหลักการและขั้นตอนในร่างรัฐธรรมนูญ
แต่หากร่างรัฐธรรมนูญยังไม่แล้วเสร็จ ก็จะเหลือเพียงคำถามข้อแรกเท่านั้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีครบ 90 วันแล้วยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.ประชามติฉบับใหม่ นายบวรศักดิ์ตอบว่า สภาจะต้องประชุมตามมาตรา 146 ของรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ควรตั้งสมมติฐานล่วงหน้า เพราะจากสถิติที่ผ่านมา “ส่วนใหญ่โปรดเกล้าฯ ทั้งหมด เว้นแต่มีข้อขัดข้องทางเทคนิค เช่น ผิดพลาดทางถ้อยคำ”
สำหรับกรณีที่สภาเห็นชอบให้ร่างของพรรคประชาชน (ปชน.) เป็นร่างหลัก ซึ่งบางฝ่ายกังวลว่าจะเปิดช่องให้แก้หมวด 1 และหมวด 2 นั้น นายบวรศักดิ์ชี้ว่า ต้องรอดูเนื้อหาสุดท้ายในวาระ 3 เพราะในขั้นตอนนั้นสามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ทุกประเด็น
ส่วนกรณีมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ นายบวรศักดิ์ระบุว่า หากศาลยังอยู่ระหว่างวินิจฉัย จะไม่สามารถนำเนื้อหารัฐธรรมนูญไปทำประชามติได้ตามกำหนด 29 มีนาคมปีหน้า โดยจะสามารถถามได้เพียงคำถามเดียวคือ เห็นชอบให้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่
เมื่อถามถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่ให้เลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยตรงจากประชาชน นายบวรศักดิ์กล่าวว่า ยังสามารถทำให้ยึดโยงประชาชนได้หลายวิธี เช่น ใช้ระบบเลือกตั้งโดยอ้อม พร้อมชี้ว่า การที่ศาลมีคำวินิจฉัยในประเด็นที่เกินคำขอไม่ถือว่าผิดปกติ เพราะเป็นลักษณะของ “กฎหมายมหาชน” ที่มุ่งคุ้มครองสิทธิสาธารณะ ไม่ใช่คดีแพ่งหรืออาญาที่จำกัดขอบเขตคำขอ
ทั้งนี้ นายบวรศักดิ์ยังกล่าวถึงข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ (MOA) ว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็ไม่กระทบต่อไทม์ไลน์ แต่เหตุการณ์ทางการเมืองอาจเปลี่ยนแปลงได้เสมอ “วันนี้ยังไม่มีเหตุให้เปลี่ยน แต่การเมืองไทยเปลี่ยนทุกวัน ไม่ใช่ทุกเดือน” เขากล่าวทิ้งท้าย