“พรรคส้ม”นัดรวมพลพบประชาชนขอโทษจากใจขอไปต่อด้วยกัน

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ที่สนามหญ้า มศว ประสานมิตร พรรคประชาชน จัดกิจกรรม “พรรคประชาชนพบประชาชน ขอโทษจากใจ ขอไปต่อด้วยกัน” โดยมี แกนนำและอดีตแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล และพรรคประชาชน มาร่วมงานพูดคุยแลกเปลี่ยนกับประชาชนอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวช่วงหนึ่งว่า ขอส่งคำขอโทษถึงทุกคน ไม่ว่าแต่ละคนจะมีความรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนในฐานะหัวหน้าพรรค ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความรับผิดชอบของตนและผู้นำพรรคในปัจจุบัน วันนี้เป็นเวทีที่เปิดให้สมาชิกพรรคทุกคนรวมถึงประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศตัวจริง ได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างเปิดกว้าง

ทั้งนี้ เราเชื่อว่า การตัดสินใจที่ผ่านมา ในทางกระบวนการเราทำอย่างดีที่สุดในฐานะพรรคมวลชน ได้ตัดสินใจโดยสอบถามสมาชิก ผ่านกระบวนการอย่างเปิดกว้าง การที่เราจะทำพรรคมวลชนที่ซื่อตรงกับประชาชน ทำการเมืองตรงไปตรงมา แต่ต่อมาเราถูกหักหลัง มีเสียงสะท้อนว่าพรรคนี้เป็นพรรคเด็กน้อยไร้เดียงสาหรือไม่ ถ้าบอกว่าอยากทันเกมแล้วเราต้องทำแบบเขา ดีลกันลับๆ คุยกันหลังบ้านให้หมด ตนไม่เชื่อการเมืองแบบนั้น ถ้าทำแบบนั้นคงไม่ใช่ตัวตนของเราที่เริ่มมาตั้งแต่อนาคตใหม่

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตอนนี้มุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง เหลือเวลาอีกไม่นานที่พวกเราต้องชี้ชะตาตัดสินอนาคตประเทศ ถ้าการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาชนได้เสียงของคนส่วนใหญ่ในประเทศ ได้ สส. เกินครึ่งของสภา ตนยังมองไม่เห็นว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน จะมีอะไรมาฉุดรั้งไม่ให้พรรคประชาชนเข้าไปสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ ส่วนคำถามว่าถ้าได้เสียงเกินครึ่งแล้วยังไม่ได้เป็นรัฐบาลจะทำอย่างไร ถึงเวลานั้นเราก็เกี่ยวแขนกันไปอยู่หน้าสภา ถ้าจะทำกันถึงขนาดนั้นก็ไม่มีทางอื่น เราต้องสู้

“วันที่ผมเข้ามาร่วมเดินทางกับพรรคอนาคตใหม่ จำคำพูดของอดีตแกนนำพรรคได้แม่นว่าเราต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีการนองเลือด เข้ามาเปลี่ยนแปลงจากในระบบ นี่ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น แต่คือการวิ่งมาราธอน การเดินทางตลอด 7 ปีถือว่ายาวนานแต่เราเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้วเรื่อยๆ ” นายณัฐพงษ์ กล่าว

สำหรับ การเลือกตั้งที่จะมาถึงพร้อมกับการประชามติ เราจะรณรงค์อย่างแข็งขัน นอกจากขอให้ประชาชนโหวตให้กับพรรคประชาชนอย่างถล่มทลาย ให้เราได้เป็นรัฐบาล อีกหนึ่งเสียงคือประชามติอย่างถล่มทลายเพื่อเดินหน้ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากการเลือกตั้งข้างหน้า เราสามารถทำให้เป็นภาพแบบนี้ได้ เชื่อว่าเข็มนาฬิกาของประเทศจะเดินหน้าต่อแน่นอน

หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า อีกเรื่องสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้ ตนอยากให้ทุกคนเห็นว่าถ้าเราไม่กำจัดเรื่องสีเทา ถ้าไม่ทำให้ประเทศไทยเท่าเทียมกัน ถ้าไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยเท่าทันโลก ประเทศไทยจะไม่มีทางรอด สำหรับพวกตนยืนยันไม่ท้อถอย เดินหน้าต่อเต็มกำลัง การเลือกตั้งครั้งหน้าคือภารกิจตัดสินอนาคตประเทศไทย

ด้าน วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า โจทย์ของพรรคประชาชนขณะนี้ คือ ทำอย่างไรให้คนเกินครึ่งประเทศเห็นด้วยกับแนวทางของเรา ตนย้ำเสมอว่า ต้องขอบคุณทุกคนที่รักและร่วมเดินทางด้วยกันมาตั้งแต่อนาคตใหม่ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ เราอยากให้คนที่เหลือในประเทศเห็นพ้องกันด้วยว่ามันคือความจำเป็น ว่าคุณจะเห็นประเทศเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน เพราะหลังการเลือกตั้งปี 2569 ตนเชื่อว่าจะไม่มีการเมืองสีเทาหรือเศรษฐกิจสีเทาอีกแล้ว เพราะถ้ามันไม่ขาวขึ้น ก็จะเป็นสีดำไปเลย การเลือกตั้งครั้งนี้จึงมีเดิมพันสูงขึ้นเรื่อยๆ ขอให้คนที่รักเราช่วยกันสนับสนุน ทำให้ทุกคนมองเห็นความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลงผ่านการเลือกตั้ง เพื่อให้เราได้เสียงมากเพียงพอที่จะไม่ต้องไปต่อรองกับใครเหมือนที่เคยเป็นมา

ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตนขอให้กำลังใจหัวหน้าพรรคประชาชน ตอนที่เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ต้องตัดสินใจอยู่หลายครั้ง บางครั้งตัดสินใจถูก บางครั้งตัดสินใจผิด เป็นธรรมดาของการเป็นผู้นำในการบริหารองค์กร สิ่งที่ควรทำคือการยอมรับความผิดพลาด เรียนรู้ และพยายามพัฒนาตัวเองและองค์กรให้ดีขึ้น ขอให้แกนนำพรรคในปัจจุบันมีสมาธิ พาพวกเราไปถึงชัยชนะ เชื่อว่าบรรยากาศแบบเดิมจะกลับมาอีกครั้ง และเราจะชนะได้เยอะกว่าเดิม

นายชัยธวัช ตุลาธร อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ในขณะที่พวกเราอยากผลักให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปข้างหน้า อยากทำให้สังคมไทยหลังการรัฐประหารสองครั้งล่าสุด สามารถมีฉันทามติชุดใหม่ ที่แม้ว่าเราอาจจะเห็นไม่ตรงกันทุกเรื่อง อาจมีความคิดทางการเมืองคนละเฉด แต่สุดท้ายหลังจากที่เราผ่านความขัดแย้งกันมา น่าจะหาจุดตรงกลางที่พอจะยอมรับร่วมกันได้ คือกฎกติกาทางการเมืองที่ไม่มีใครได้ทั้งหมดหรือเสียทั้งหมด

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม ที่ผ่านมา อาจเป็นการส่งสัญญาณว่ามีพลังทางการเมืองหรือพลังทางสังคมแบบเดิมที่ยังหวาดระแวงกับการเปลี่ยนแปลง หรือไม่พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง พวกเขาแข็งตัวมากในระดับที่ไม่ถอยแม้สักก้าวเดียว ทำให้เกิดโจทย์ว่าความเป็นไปได้ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างสันติที่ทุกฝ่ายพอจะอยู่ร่วมกันได้ มันเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าจะเป็นไปได้ต้องจ่ายด้วยราคาแค่ไหน

ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า นี่เป็นเวทีแรกที่ผู้นำพรรคทั้ง 4 คน มาอยู่ด้วยกัน เป็นการแสดงสปิริต เพื่อบอกว่าเราทำพลาดไปแล้วและขอโทษ แสดงความรับผิดชอบอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผยเหมือนตอนที่เราทำ MOA หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการที่พวกเรามายืนต่อหน้าทุกท่านเพื่อแสดงความรับผิดชอบ จะทำให้ทุกคนไม่ทอดทิ้ง ไม่หยุดสนับสนุนพวกเรา

อย่างไรก็ตาม ถ้าบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้น กำลังบอกเราว่าต้องทำงานการเมืองแบบอื่น ต้อง “เขี้ยวลากดิน” เหมือนคนอื่น ต้องหักหลังเป็น กลับกลอกเป็น ต้องทำดีลลับ ถ้าต้องทำการเมืองแบบนั้น ตนไม่ทำ ไม่เชื่อว่าการเมืองแบบนั้นจะทำให้เราถึงเส้นชัยได้ เพราะเราไม่มีอำนาจอื่นที่จะไปบังคับผลการเจรจา อำนาจเดียวที่เรามีมาจากประชาชน ดังนั้นถ้าทำงานการเมืองแบบอื่น เราจะสูญเสียประชาชน ซึ่งท้ายที่สุดเราจะไม่เหลืออะไรเลยอีกบทเรียนที่สำคัญคือไม่มีทางเลือกอื่น ต้องเป็นรัฐบาลพรรคเดียว 250 เสียงเท่านั้น ต้องทำให้อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งและอำนาจที่มาจากจารีต ใกล้เคียงกันมากที่สุด ซึ่งจะขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งครั้งนี้

ด้าน นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ตอนนี้เดินหน้าสู่ฉากใหม่ คือ การทำประชามติคำถามเดียวพร้อมกับการเลือกตั้ง สส. เพื่อกำหนดตัวว่าใครจะได้เป็นรัฐบาล โดยในวันเลือกตั้งต้องขอแรงพี่น้องประชาชนออกไปใช้สิทธิใช้เสียงให้ถล่มทลาย หากฝ่ายที่อยากให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแพ้ เท่ากับจะมัดตราสังรัฐธรรมนูญ 2560 ให้แข็งแกร่งกว่าเดิม รัฐธรรมนูญนี้จะยิ่งแก้ไม่ได้ และตนคิดว่าเสียงของฝ่ายที่ต้องการแก้ ต้องได้ 70-80 เปอร์เซนต์ จึงจะมากเพียงพอ ขั้นตอนจากนั้นจึงกลับมาทำร่าง และช่วยกันกดดัน สว. ให้ปล่อย 67 เสียงออกมาให้ได้