
จากกรณี กกต.ยื่นคำฟ้องต่อศาลฎีกา เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ขอให้สั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของ น.ส.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สมาชิกวุฒิสภา ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 62 ประกอบประกอบมาตรา77(4) และรัฐธรรมนูญมาตรา 226 นั้น เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ศาลฎีกามีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และมีคำสั่งให้ น.ส.เกศกมล ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษา พร้อมได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวไปยังประธานวุฒิสภาแล้ว รวมทั้งศาลยังมีคำสั่งให้นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 10 ก.ย 68 เวลา 14.00 น. ห้องพิจารณาคดีที่ 5 ศาลฎีกา
ทั้งนี้ การฟ้องคดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก กกต.เห็นว่าการที่น.ส.เกศกมล ระบุ ข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (สว.3) ในส่วนของประวัติการศึกษาว่า “2.1 ศาสตราจารย์การพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ (Professor in Human Resource Development) California University และระบุประวัติการทำงาน หรือประสบการณ์ในการทำงานในกลุ่มที่สมัครว่า “ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย” นั้น ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าน.ส.เกศกมล ไม่ได้มีตำแหน่งทางวิชาการศาสตราจารย์ตามหลักการและขั้นตอนที่กำหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าวข้างต้นของประเทศไทย อีกทั้งพยานที่ไต่สวนประกอบคนที่ 3-11 ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาและเป็นผู้มีสิทธิเลือก ระดับประเทศให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่า ข้อมูลแนะนำตัวของผู้สมัคร ซึ่งระบุว่า “ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย” มีผลจูงใจให้ลงคะแนนให้แก่ น.ส.เกศกมล
ดังนั้นการที่ น.ส.เกศกมล แนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาว่าเป็น “ศาสตราจารย์ ดร.แพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย” โดยที่มิได้ดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ตามกฎหมายของประเทศไทย จึงเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด ในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของผู้ถูกร้อง เพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือก ลงคะแนนให้แก่ผู้ถูกร้อง ซึ่งเป็นการทุจริตในการเลือก และทำให้การเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 62 และมาตรา 77 (4)
หากศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามที่กกต.มีมติเสนอก็จะมีโทษตาม มาตรา 77 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการ (4)หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้บุคคลอื่น เข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ หรือชื่อเสียงเกียรติคุณของผู้สมัครใด เพื่อจูงใจให้ผู้อื่นสมัครเข้ารับเลือก เป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือถอนการสมัคร หรือกระทำการใด ๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้นั้นหมดสิทธิ ที่จะเลือกหรือได้รับเลือก หรือเพื่อจูงใจให้ผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000 -200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี