“หมอเปรม”จี้รัฐเด็ดขาดฟื้นศรัทธา–ยกระดับโปร่งใสไทยสู่เวทีโลก

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ในการประชุมวุฒิสภา นายแพทย์เปรมศักดิ์ เพียุระ สมาชิกวุฒิสภา ได้ตั้งกระทู้ถามต่อรัฐบาลเรื่อง การยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) โดยแสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ดัชนีการรับรู้เกี่ยวกับการทุจริต (CPI) ของประเทศไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2567 ได้เพียง 34 คะแนน และอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก จาก 180 ประเทศ ซึ่งลดลงจากปี 2563 ที่ได้ 36 คะแนน

นายแพทย์เปรมศักดิ์ ระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่าประเทศไทยมีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่รุนแรง และเป็น ‘หนามยอกอก’ หรือ ‘มะเร็งร้าย’ ที่กัดกินประเทศ โดยเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนที่เวียดนามได้อันดับ 3 (40 คะแนน) และมาเลเซียอันดับ 2 (50 คะแนน) ขณะที่ไทยอยู่อันดับ 5 ชี้ว่าหากดัชนี CPI ยังต่ำเช่นนี้ นักลงทุนต่างชาติจะขาดความเชื่อมั่นและอาจจะเลือกไปลงทุนที่เวียดนามมากกว่าประเทศไทย

ส.ว. เปรมศักดิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่คะแนนไทยลดลงมาจากหลายปัจจัย ทั้งการที่รัฐบาลขาดเจตจำนงในการต่อต้านทุจริตที่ชัดเจน ขาดความโปร่งใสในการใช้จ่ายภาครัฐ และความเสี่ยงในการเรียกรับสินบนจากเจ้าหน้าที่รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงได้ตั้งคำถามสำคัญ 3 ข้อต่อรัฐบาล ได้แก่ 1) นโยบายประกาศเจตจำนงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริต 2) มาตรการทางกฎหมายที่เด็ดขาดทั้งระดับประเทศและท้องถิ่นเพื่อลงโทษผู้กระทำผิด 3) นโยบายในการเพิ่มความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนต่างประเทศ โดยการทำโปรโมชั่นแสดงถึงการปรับปรุงมาตรการด้านการต่อต้านการทุจริต

ด้าน พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม ได้รับมอบหมายให้มาชี้แจง โดยยืนยันว่า รัฐบาลมีนโยบายประกาศเจตจำนงทางการเมืองอย่างชัดเจน เพื่อยกระดับคะแนน CPI และสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน โดยเห็นได้จากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ซึ่งให้ความสำคัญกับการยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการบริหารราชการแผ่นดินบนพื้นฐานของธรรมาภิบาล

รมว.ยุติธรรม ชี้แจงถึงมาตรการสำคัญที่รัฐบาลกำหนดเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนและยกระดับคะแนน CPI ว่า ได้แก่ การรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด การจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาดและจริงจัง โดยร่วมมือกับ ป.ป.ช. ปปท. ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การเร่งพัฒนารัฐบาลดิจิทัลควบคู่กับการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ และการปฏิรูปกฎหมายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อประชาชนและภาคธุรกิจ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ร่วมขับเคลื่อนผ่านแผนปฏิบัติการยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริตระยะเวลา 5 ปี (2566 – 2570)

อย่างไรก็ตาม นายแพทย์เปรมศักดิ์ ได้กล่าวเสริมว่า การปราบปรามที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล็กในต่างจังหวัด แต่เรื่องใหญ่ยังคงอยู่ในระดับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะ “เส้นทางสแกมเมอร์” ซึ่งต้องทำให้พ้นจาก “อาณาจักรแห่งความกลัว” และต้อง “ตัดนิ้วร้าย” ที่เจอทิ้งให้ได้ พร้อมระบุว่า ขณะนี้ภาคเอกชน เช่น หอการค้า สภาอุตสาหกรรม และสมาคมธนาคารไทย ได้รวมพลังกันว่าจะไม่ทนรอรัฐบาลแก้ปัญหาแล้ว

ส.ว. เปรมศักดิ์ ยังได้เสนอแนะให้กระทรวงยุติธรรมใช้ เทคโนโลยี AI หรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการดำเนินการปราบปรามการทุจริตและชี้เบาะแส เนื่องจากปัญหาเดิมคือการปกปิดความลับของผู้ชี้เบาะแสทำได้ไม่ดี ทำให้ผู้แจ้งเหตุไม่ปลอดภัย และการใช้คนยังมีความลำเอียงในการจับกุม พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน โดยเฉพาะการตั้งเป้าดึงอันดับ CPI ของไทยจากอันดับที่ 107 ให้ขึ้นไปอยู่ที่ อันดับ 70 ของโลก ให้ได้ ซึ่งหากไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นเป้าหมาย ความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน