
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ได้ร่วมลงพื้นที่สังเกตการณ์ภาพรวมความเสียหาย รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ เพื่อสังเกตการณ์ และรับทราบข้อเท็จจริงที่กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ที่ว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลพลเรือนในยามสงคราม โดยมี แพทย์หญิงวรวรรณ กอปรกิจงาม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา และตัวแทนฝ่ายปกครอง ร่วมบรรยายให้คณะ IOT และสื่อต่างชาติ ได้รับทราบถึงผลกระทบที่ทางโรงพยาบาลได้รับ และร่องรอยของความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกัมพูชาที่ยิงจรวด BM-21 ตกลงมาใส่พื้นที่

ทั้งนี้ ได้รับทราบถึงสถานการณ์ภาพรวมในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะ ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยมีการปะทะกันตลอดแนวชายแดนระยะทาง 125 กิโลเมตร ตั้งแต่ อ.พนมดงรัก อ.กาบเชิง อ.สังขะ รวมไปถึงในส่วนของ อ.ปราสาท ทำให้มี 5 อำเภอ 25 ตำบล 296 หมู่บ้าน ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ อ.กาบเชิง อ.พนมดงรัก อ.บัวเชด อ.สังขะ และ อ.ปราสาท กระทบต่อผู้คนในพื้นที่เกือบ 2 แสนคน กระทบต่อชีวิตพลเรือน และทรัพย์สินอีกจำนวนมาก เบื้องต้นมีบ้านเรือนเสียหายแล้ว 102 หลัง วัด 3 แห่ง โรงพยาบาล 1 แห่ง และพื้นที่เกษตรอีกจำนวนมาก รวมไปถึงยังมีผู้คนบาดเจ็บ 7 ราย เสียชีวิต 10 ราย หนึ่งในนั้นมีเด็กวัย 8 ขวบคือน้องน้ำโขงด้วย

นอกจากนั้น ได้รายงานว่า ในพื้นที่มีหลุมหลบภัย 918 หลุม รองรับประชาชนได้เพียง 15,000 คนเศษ จึงได้ใช้ศูนย์พักพิงรองรับประชาชนไว้ 154 แห่ง โดยตัวแทนบรรยายยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “หวังว่าการมาสำรวจของท่านในครั้งนี้ จะสามารถนำและเก็บข้อมูลหลักฐานทั้งหมดที่เป็นประโยชน์ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของท่านต่อไป วันนี้เป็นการลงพื้นที่ของคณะวันสุดท้าย ที่ท่านจะได้นำความจริงของประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งถือมีความสำคัญมาก เป็นสิ่งที่อยากจะบอกให้ได้รับรู้ว่า ทางกัมพูชามีการละเมิดข้อตกลงต่างๆ จำนวนมาก และการตอบโต้ของกัมพูชาทางโซเชียลต่างๆ ล้วนแต่เป็นการบิดเบือนทั้งสิ้น จึงอยากให้ท่านที่ได้มาลงพื้นที่จริง ได้เห็น และพิจารณา เพื่อนำไปสู่การเจรจาต่อไป”

พร้อมทั้ง เปิดวิดิโอชุด “crying from the border“ เสียงร้องไห้จากคนชายแดน ที่สื่อถึงความจริงของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจริง โดยเฉพาะจุดบ้านเรือนของพลเรือน , โรงเรียน และชีวิตของผู้คนจากเหตุการณ์ครั้งนี้
ด้าน พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้กล่าวสรุปถึงการที่กัมพูชาได้ละเมิด 3 ข้อหลักว่า เรื่องละเมิดที่ปรากฏอยู่ คือ 1.กัมพูชายังใช้อาวุธกับฝ่ายไทยอยู่ โดยเฉพาะ “ทุ่นระเบิด” หลังข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ซึ่งเป็นการละเมิดชัดเจน 2.การใช้โดรนบินเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งต้องดูว่ามีการใช้โดรน หรือมีการเติมกำลังหรือไม่ โดยเฉพาะแนวชายแดนอย่างที่ช่องอานม้าเมื่อวานนี้ เช่น การมาทักท้วงต่างๆ และ 3.เรื่องการยั่วยุ ถือเป็นการบิดเบือนข่าวสาร ทำให้เกิดความขัดแย้งมากกว่าการใช้อาวุธด้วยซ้ำ พลตรีวินธัย จึงย้ำว่า “ให้ดูกรอบ 13 ข้อ และขอฝากให้ IOT ช่วยดู”

ขระที่ พล.ต.ซัมซุล ริซัล บิน มูซา (Brigadier General Samsul Rizal bin Musa) ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย ได้สื่อสารกลับว่า “วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ได้เดินทางมา เดี๋ยวจะมีการรายงานที่เป็นรูปธรรม เพื่อนำเรียนให้ทราบต่อไป และนำเรียนให้กับกองทัพไทย และกองทัพบกให้ทราบ โดยจะมีการระบุผ่านหลักฐาน 3 ข้อ คือ 1.การใช้ทุ่นระเบิด 2.เรื่องการใช้อากาศยานไร้คนขับ และ 3.การยั่วยุ และใช้ข้อมูลข่าวสารเท็จ ไม่ว่าจะเป็นแถลงการณ์ หรือโซเชียลมีเดียจะเห็นได้จากการที่ไม่ใช่แค่ในโซเชียลมีเดียอย่างเดียว อย่างเมื่อวานมีการยั่วยุโดยใช้กำลังทหารเข้ามา ซึ่งก็เจอเหตุแบบนั้นจริงๆ คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ไม่ได้มาเพื่อตัดสินใจว่าใครถูกหรือผิด แต่มาสังเกตการณ์ว่ามีการหยุดจริงอย่างแท้จริงหรือไม่ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนที่อยู่แนวชายแดน
