ผู้ว่าฯกทม.ระดมทีมพร้อมรับมือฝนโค้งสุดท้าย 40 วัน

เมื่อวันที่ 22 กันยายน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯกทม. ผู้บริหารสำนักการระบายน้ำ ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์น้ำด้านตะวันออก ใน 4 จุดสำคัญ ได้แก่ 1. ประตูระบายน้ำพระธรรมราชาและไซฟอนพระธรรมราชา จังหวัดปทุมธานี 2. ประตูระบายน้ำปลายคลอง 13 (สายล่าง) เขตหนองจอก 3. ประตูระบายน้ำบึงฝรั่ง เขตหนองจอก 4. สถานีสูบน้ำหนองจอก เขตหนองจอก โดยมีผู้แทนจากโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษารังสิตเหนือ สำนักงานชลประทานที่ 11 กรมชลประทาน ร่วมลงพื้นที่และให้ข้อมูล

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า จากความกังวลของหลายคนเรื่องน้ำ ที่มีการปล่อยน้ำจากเขื่อน หรือเห็นน้ำท่วมแถบจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง หรือเพชรบูรณ์ เราจึงมาลงพื้นที่บริเวณคลอง 13 จ.ปทุมธานี ติดตามสถานการณ์น้ำ ซึ่งขณะนี้ จุดนี้ขึ้นธงเขียว หมายความว่าระดับน้ำอยู่ในระดับรับได้ โดยในการระบายน้ำของรังสิตแบ่งเป็นหลายโซน เช่น รังสิตใต้ รังสิตเหนือ เมื่อมีฝนตกบริเวณโครงการรังสิตเหนือ หรือมีน้ำจากแม่น้ำป่าสักไหลลงมา น้ำจะระบายลงคลอง 13 เป็นหลัก และมีคลองไหลตัดคือ คลองรังสิต ไปออกแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งหากน้ำเยอะบริเวณนี้ก็จะกระทบกับกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกได้

สำหรับ ภาพรวม บริเวณคลอง 13 มีศักยภาพการระบายน้ำ 80 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ปัจจุบันระบายน้ำอยู่ที่ประมาณ 47 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณฝนตก มาตรการคือจะไม่พยายามนำน้ำเหนือลงมารวมกับน้ำฝนด้านล่างที่เป็นพื้นที่บ้านเรือนชุมชม เพราะจะระบายไม่ทัน เมื่อฝนตกจะเน้นตัดตอนน้ำโดยการสูบน้ำออกทางนครนายกเป็นหลัก

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า ปัญหาที่อาจเกิดคือ หากน้ำลงมาได้ก็จะมาเจอคลองหกวาสายล่าง คลองแสนแสบ และคลองประเวศบุรีรมย์ สุดท้ายก็จะไหลออกคลองพระโขนง ซึ่งน้ำจะมากดดันพื้นที่เขตลาดกระบังของกรุงเทพมหานคร ต้องขอขอบคุณกรมชลประทาน ที่ช่วยประสานความร่วมมือดูแลจัดการน้ำจากด้านบนให้ระบายออกไปในทิศทางอื่น ๆ ที่สามารถทำได้ สำหรับสถานการณ์ขณะนี้ กรมชลประทาน มองว่าอยู่ในช่วงเฝ้าระวัง ยังไม่หนัก ยังไม่ล้นคันกั้นน้ำ เพราะปีก่อน ๆ เช่น ปี 64 หรือ ปี 65 รุนแรงกว่านี้

จากนั้น ผู้ว่าฯ ชัชชาติ และคณะ ลงพื้นต่อไปยังคลองหกวาสายล่าง โดยกล่าวว่า มาจุดนี้เนื่องจากเป็นกังวลเรื่องแม่น้ำป่าสัก ที่ปัจจุบันมีน้ำท่วมจากแม่น้ำป่าสัก ในพื้นที่ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ โดยย้ำว่าน้ำป่าสักล้นที่ อ.หล่มสักไม่ส่งผลกระทบต่อกรุงเทพมหานคร เนื่องจากจุดที่น้ำท่วมนั้นอยู่ก่อนถึงเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

อย่างไรก็ตาม เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ความจุไม่เยอะมาก ประมาณ 960 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเทียบไม่ได้กับเขื่อนภูมิพล ที่มีความจุกว่า 13,000 ล้านลูกบาศก์เมตร และเขื่อนสิริกิติ์ 9,500 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยขณะนี้ น้ำในเขื่อนป่าสักฯ มีประมาณ 70% จึงเร่งพร่องน้ำในเขื่อนป่าสักฯ เพื่อเตรียมรับน้ำที่กำลังจะมา แต่น้ำที่ปล่อยออกมาจากเขื่อนป่าสักฯ ก็ไม่ได้ลงมาสู่กรุงเทพมหานครโดยตรง ส่วนหนึ่งถูกตัดออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยคลองหลายสาย แต่เราเฝ้าระวังตลอด สำนักการระบายน้ำ กทม. ไม่ประมาท

ด้านสำนักการระบายน้ำ กล่าวถึงสถานการณ์ฝนและการเตรียมพร้อมรับมือในพื้นที่ กทม. ว่า คลองสายหลักได้ทำการพร่องน้ำหมดแล้วเพื่อเตรียมรับมือฝนที่คาดว่าจะตกหนักในช่วงวันที่ 25 – 26 ก.ย. 68 รวมถึงได้เตรียมกระสอบทรายไว้ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินแล้ว

สำหรับ กรณีน้ำท่วม จ.พระนครศรีอยุธยา เนื่องจากลำน้ำเจ้าพระยาบริเวณ จ.พระนครศรีอยุธยาจะแคบกว่า กทม. เวลาน้ำหลากจึงเกิดปัญหา รวมถึงอยู่นอกคันกั้นน้ำจึงทำให้ท่วมได้ ส่วน กทม. มีแนวคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งปัจจุบันมีการปล่อยน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่กรุงเทพมหานคร วิกฤตอยู่ที่ 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตัวเลขยังห่างอยู่แต่เราก็ไม่ประมาท ได้วางกระสอบทรายเสริมตลอดแนวแนวจุดเสี่ยงและฟันหลอริมเจ้าพระยาและคลองมหาสวัสดิ์แล้วรวมระยะทาง 3,222 เมตร กว่า 190,000 ใบ ส่วนสถานการณ์น้ำเขตลาดกระบัง ขณะนี้น้ำในคลองประเวศบุรีรมย์ลดลง

“ขอเอาใจช่วยเพื่อนบ้านเราในหลายจังหวัดที่เผชิญอุทกภัยอยู่ในขณะนี้ สำหรับสถานการณ์โดยรวมของ กทม. ยังไม่น่าเป็นห่วง เรามีโครงการคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงกรมชลประทานที่ช่วยบริหารจัดการน้ำ ทำให้ กทม. ยังไม่เจอภาระน้ำที่หนักมาก แต่ก็ประมาทไม่ได้ เราเหลืออีกประมาณ 40 วันอันตราย ที่ฝนยังตกอยู่ก่อนจะหมดช่วงหน้าฝนราวปลายเดือน ต.ค. 68 ที่จะกังวลคือหากมีพายุเข้าและไปเพิ่มประมาณน้ำทั้งใต้เขื่อนและเหนือเขื่อน” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว