
เมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้านานาชาติ จ.อุดรธานี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดการประกวดผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายสิริราชพัสตราภรณ์” และงานหัตถกรรม ประจำปี 2568 รอบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย กรมการพัฒนาชุมชน ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมภาคีเครือข่ายเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

นายอรรษิษฐ์ กล่าวถึงความผูกพันกับ จ.อุดรธานี ที่เคยปฏิบัติหน้าที่รองผู้ว่าราชการจังหวัดเมื่อปี 2558 และย้ำว่า วันนี้ในฐานะปลัด มท. รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้กลับมาร่วมผลักดันงานสำคัญภายใต้พระดำริของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงมีพระวิริยอุตสาหะในการต่อยอดและยกระดับภูมิปัญญาผ้าไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล

“การได้แชมป์ว่ายากแล้ว แต่การรักษาแชมป์ยากกว่า ทุกคนที่เข้าร่วมต้องรักษามาตรฐานและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน การประกวดก็เปิดโอกาสให้ศิลปินและคนรุ่นใหม่ได้ก้าวสู่เวที สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างคุณภาพชีวิตที่มั่นคง” นายอรรษิษฐ์ กล่าว

ในปีนี้มีผลงานส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 8,903 ชิ้น แบ่งเป็นผ้า 8,336 ผืน และงานหัตถกรรม 567 ชิ้น โดยภาคอีสานถือว่าคึกคักที่สุด มีผลงานกว่า 5,000 ชิ้น และผ่านเข้ารอบภาคกว่า 2,000 ชิ้น ก่อนคัดเข้าสู่รอบ Quarter Final และ Semi Final ต่อไป

ด้าน นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยว่า การประกวดครั้งนี้ไม่เพียงสร้างเวทีให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นได้ฉายแวว แต่ยังเป็นการต่อยอดเชิงเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเพียงปีเดียวการจำหน่ายผ้าไทยใน จ.อุดรธานี สร้างรายได้กว่า 2,900 ล้านบาท
ขณะที่ นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ระบุว่า จังหวัดมีเครือข่ายกลุ่มทอผ้า 353 กลุ่ม รวมกว่า 1,000 ผลิตภัณฑ์ พร้อมขับเคลื่อนโครงการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ตามพระดำริ เพื่อให้ผ้าไทยเข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น ทั้งการย้อมสีธรรมชาติ การพัฒนาโรงเรียน OTOP และการทำตลาดเชิงรุก

สำหรับ การประกวดครั้งนี้ มีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งศิลปินแห่งชาติ นักออกแบบแฟชั่นชื่อดัง และผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทย อาทิ อาจารย์มีชัย แต้สุจริยา ศิลปินแห่งชาติ, คุณกุลวิทย์ เลาสุขศรี บรรณาธิการโว้ก ประเทศไทย, คุณศิริชัย ทหรานนท์ เจ้าของแบรนด์ THEATRE และ คุณภูภวิศ กฤตพลนารา (ISSUE) เข้าร่วมตัดสินอย่างเข้มข้น

สำหรับ บรรยากาศการประกวดไม่เพียงเป็นการประชันฝีมือ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงพลังการอนุรักษ์และนวัตกรรมที่ผสานกันอย่างลงตัว เพื่อให้ “ผ้าไทย” ยังคงยืนหยัดคู่สังคมไทย และก้าวไกลสู่สายตาโลกอย่างสง่างาม





