
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งได้รับเลือกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่า วันนี้เป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการบริหารพรรคฯ แม้ยังต้องรอการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่ทุกคนเห็นตรงกันว่าต้องเริ่มเดินหน้าโดยเร็ว เพราะเวลามีน้อย
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ประเด็นหลักที่หารือกันคือ “นโยบายและการเตรียมผู้สมัคร” โดยย้ำว่าหน้าที่สำคัญที่สุดของพรรคคือการสร้างความหวังให้ประชาชน “เศรษฐกิจไทยติดหล่มมานาน เราจึงต้องผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโต ควบคู่กับการยกเครื่องภาคเกษตร เดินหน้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัล ลดความเหลื่อมล้ำและการผูกขาด” ทั้งนี้ พรรคเตรียมเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมาหารือเรื่อง “ประเทศไทยต้องการอะไรจากการเมือง” ในวันที่ 28 ตุลาคม โดยมีนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค รับผิดชอบดูแลด้านนโยบาย
ส่วนการเตรียมผู้สมัคร นายอภิสิทธิ์ระบุว่า พรรคจะดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามกฎหมาย โดยคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครจะประชุมเลือกประธานและทำงานร่วมกับรองหัวหน้าพรรคแต่ละภาค รวมถึงตัวแทนจังหวัดทันที เพราะต้องเร่งแข่งกับเวลา
“ผมคุยกับสมาชิกพรรคหลายคน มีบางคนแจ้งว่าจะไม่ร่วมงานต่อ ผมเข้าใจ เพราะนี่คือธรรมชาติของการเมือง แต่เราต้องเดินหน้าต่อ เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์เสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้ประชาชน” นายอภิสิทธิ์กล่าว พร้อมยืนยันว่าจะพยายามรักษาบุคลากรของพรรคให้มากที่สุด
เมื่อถามถึงทีมเศรษฐกิจ นายอภิสิทธิ์ระบุว่า พรรคไม่ได้มองแค่ด้านเศรษฐกิจ แต่ครอบคลุมถึงสังคม สิ่งแวดล้อม ความเป็นธรรม และการเมือง “เศรษฐกิจจะโตได้ การเมืองต้องดี การศึกษาและสังคมต้องดีด้วย เพราะปัญหาคอร์รัปชันคือสิ่งที่ฉุดรั้งประเทศไว้”
สำหรับเป้าหมายการเลือกตั้งครั้งหน้า นายอภิสิทธิ์ตอบสั้น ๆ ว่า “อยากได้เก้าอี้ให้มากที่สุด” พร้อมระบุว่าพรรคเป็นของคนทั้งประเทศ จะส่งผู้สมัครครบทุกเขตหรือไม่นั้น ต้องประเมินจากความเป็นจริงในแต่ละพื้นที่
“ผมเห็นคุณค่าของทุกคน ใครอยากทำงานต่อกับพรรค ผมยินดี แต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเขา หากแนวทางเราไม่ตรงกันก็เข้าใจได้” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนกระแสข่าวความขัดแย้งในจังหวัดตรัง ระหว่างนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และนายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ อดีต ส.ส.ตรัง นายอภิสิทธิ์ยืนยันว่าไม่ได้ยินเรื่องนี้โดยตรง และย้ำว่ามีเป้าหมายจะ “สลายเหตุแห่งความขัดแย้ง” เพื่อให้ทุกคนเดินหน้าร่วมกัน
ขณะที่ทิศทางของพรรคประชาธิปัตย์หลังกรรมการชุดเก่าบางส่วนข้ามขั้วไปร่วมพรรคเพื่อไทย นายอภิสิทธิ์ระบุว่า ต้องดูจาก “ท่าทีและการกระทำของแต่ละพรรค” แต่ยืนยันจุดยืนชัดเจนว่า “ยึดมั่นในอุดมการณ์และสัจจะเป็นหลัก”