
เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ที่ห้องแถลงข่าวรัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส. พรรคประชาชน และ นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี เขต 7 พรรคประชาชน ร่วมแถลงกรณี น.ส.กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี เขต 6 ประกาศยุติการทำงานร่วมกับพรรคประชาชนและแสดงความจำนงเข้าร่วมพรรคกล้าธรรม
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จากที่ได้รับฟังเหตุผลที่ สส.กฤษฎิ์ แถลงต่อสื่อมวลชน ไม่ว่าจะเป็นข้อกล่าวหาว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคในการผลักดันนโยบายหรือประเด็นที่สส.กฤษฎิ์อยากขับเคลื่อน หรือการแก้ปัญหาการทำงานในพื้นที่ไม่เคยได้รับงบประมาณจากพรรค พรรคประชาชนยืนยันว่า พรรคสนับสนุนการทำงานของกฤษฎิ์ในพื้นที่มาโดยตลอด โดยฝ่ายนโยบายได้อนุมัติงบประมาณส่วนกลางให้กฤษฎิ์นำไปทำกิจกรรมรับฟังความคิดเห็นต่อการพัฒนานโยบายในพื้นที่ศรีราชา การทำงานในคณะกรรมาธิการคมนาคมที่สส.กฤษฎิ์ระบุว่าไม่ได้รับการสนับสนุนนั้นตั้งแต่เริ่มเปิดสภาฯมีการให้ สส. ทุกคนได้เสนอว่าตนเองอยากอยู่ในกรรมาธิการสามัญคณะใด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะได้อยู่ในกรรมาธิการสามัญที่ตนเองอยากอยู่เป็นอันดับหนึ่งแต่น.ส.กฤษฎิ์เป็น สส. หนึ่งในไม่กี่คนที่ได้อยู่ในกรรมาธิการสามัญอันดับหนึ่งที่ตัวเองเลือกมา คือกรรมาธิการคมนาคม เพราะพรรคประชาชนเห็นว่า ในพื้นที่ของสส.กฤษฎิ์ มีท่าเรือแหลมฉบังซึ่งน่าจะเข้าไปขับเคลื่อนในกรรมาธิการได้
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เมื่อมีญัตติที่ถูกส่งไปในกรรมาธิการคมนาคม พรรคประชาชนก็ยังได้ให้โอกาสสส.กฤษฎิ์ได้เป็นรองประธานคนที่หนึ่งของอนุกรรมาธิการนี้ ในสัดส่วนของอนุกรรมาธิการและที่ปรึกษาเองพรรคก็เปิดโอกาสให้กฤษฎิ์ได้เสนอชื่อได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีการปิดกั้นแต่อย่างใด และอนุกรรมาธิการนี้ก็มีมติให้มีการศึกษาดูงานรับฟังปัญหาของประชาชนในท่าเรือแหลมฉบังและมีการไปดูงานมาแล้ว ฉะนั้นพรรคประชาชนมีการสนับสนุนการทำงานของกฤษฎิ์ในประเด็นที่ต้องการขับเคลื่อนตลอด
สำหรับ อีกข้อกล่าวหาคือการไม่ได้รับความเคารพเรื่องสถานะทางเพศ พรรคประชาชนยืนยันว่าตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ มาจนเป็นพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน การโอบรับความหลากหลายทางเพศเป็นค่านิยมหลักและความเชื่อที่พรรคให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง พรรคประชาชนยืนยันว่าไม่มีการเหยียดสถานะทางเพศของ สส. หรือประชาชนคนใด และหากเกิดขึ้นย่อมถือเป็นการผิดวินัยและไม่เคารพต่ออุดมการณ์หลักของพรรค
นอกจากนี้ พรรคประชาชนยังเปิดโอกาสให้สส.กฤษฎิ์ได้ทำงานในด้านความหลากหลายทางเพศ โดยร่วมในทีมสภาความหลากหลายทางเพศของพรรคประชาชน มีส่วนร่วมผลักดัน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม มีส่วนร่วมในทีมยกร่าง พ.ร.บ.รับรองเพศฯ และพรรคประชาชนเองก็ได้มอบหมายให้กฤษฎิ์ยกร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยเทคโนโลยีอนามัยการเจริญพันธุ์ เพื่อให้สอดคล้องกับสมรสเท่าเทียม แม้ขณะนี้ยังไม่ได้สำเร็จครบถ้วน และพรรคเองก็เคยสนับสนุนงบประมาณในการทำกิจกรรมในพื้นที่ศรีราชา ในการรวบรวมความเห็นของผู้มีความหลากหลายทางเพศเกี่ยวกับสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศในพื้นที่ด้วย
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีเหตุการณ์การปรึกษาหารือ 2 นาทีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ตนยืนยันว่ามีการพูดคุยกับสส.กฤษฎิ์หลังเหตุการณ์นั้นจริง แต่ไม่ใช่เรื่องของเนื้อหา แต่คือเรื่องที่ว่าเวลาปรึกษาหารือที่ควรจะเป็นคือเวลาที่สะท้อนปัญหาส่วนรวมของประชาชนเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปแก้ไข ไม่ใช่การพูดความต้องการส่วนตัวว่าต้องการทำอะไรและไปไหน
อย่างไรก็ตาม พรรคยืนยันว่าสิ่งที่สส.กฤษฎิ์หารือไปไม่ใช่ความผิด ไม่มีการดำเนินการทางวินัยต่อหลังเหตุการณ์นั้น เป็นเพียงการพูดคุยว่าการหารือโดยใช้ความต้องการส่วนตัวไม่เหมาะสมกับการทำงานในสภาเท่านั้น และขอให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปและให้ สส. ทุกคนร่วมมือกันในฐานะเพื่อนร่วมอุดมการณ์เช่นเดิม
สุดท้ายที่สส.กฤษฎิ์อ้างว่าพรรคประชาชนเตรียมส่งคนลงสมัคร สส. แทนนั้น พรรคประชาชนยืนยันว่าพรรคไม่มีนโยบายในการหาคนลงสมัครแทน พรรคมีกระบวนการและกรอบเวลาที่ชัดเจนและมีการสื่อสารกับ สส. ทุกคนอยู่แล้ว และยังไม่มีกระบวนการคัดสรรผู้สมัครมาแทน สส. เกิดขึ้นแต่อย่างไร
ด้าน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สิ่งที่พรรคประชาชนยืนยันมาโดยตลอดคือการทำงานการเมืองเพื่อรับใช้ประชาชน แต่จากเหตุผลที่กฤษฎิ์ได้แถลงมาส่วนใหญ่เป็นเรื่องความไม่พอใจส่วนตัว ไม่ใช่อุปสรรคในการทำงานรับใช้ประชาชนแต่อย่างไร พรรคประชาชนจะมีมาตรการต่อคนที่ทรยศต่อเสียงของประชาชนที่มอบความไว้วางใจให้พรรคประชาชนมาอย่างเด็ดขาดต่อไป
สำหรับ มาตรการต่อไป จะมีการดำเนินทุกมาตรการให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมมากที่สุด โดยเฉพาะประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 6 จ.ชลบุรี ส่วนการให้สส.กฤษฎิ์ได้ทำตามเจตนารมณ์ในการขอยุติบทบาทกับพรรค และการร้องขอให้พรรคขับออกจากการเป็นสมาชิกนั้น ประชาชนและวิญญูชนทุกคนน่าจะมีข้อสรุปตรงกันว่า สส.กฤษฎิ์ได้แสดงเจตจำนงออกมาแล้วว่าไม่ต้องการเป็นสมาชิกพรรคประชาชนอีกต่อไป แม้การขอลาออกต้องทำหนังสือยื่นต่อนายทะเบียนสมาชิกพรรค แต่พรรคประชาชนมีความเห็นว่าหนังสือฉบับนี้ของสส.กฤษฎิ์ได้แสดงเจตจำนงเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ต้องการยุติการเป็นสมาชิกพรรคประชาชน
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความชัดเจนในข้อกฎหมาย แม้ในทางเจตนาจะชัดเจนแล้วว่า สส.กฤษฎิ์ต้องการยุติการเป็นสมาชิกพรรค แต่เมื่อหัวจดหมายไม่ได้จั่วหัวมาอย่างชัดเจนว่า ต้องการลาออก พรรคประชาชนจึงจะขอใช้อำนาจตามกฎหมายที่พรรคมี ในการยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ใช้อำนาจตีความให้พรรคประชาชน ว่า หนังสือฉบับนี้เป็นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาชนหรือไม่
นอกจากนี้ในการแถลงของ สส.กฤษฎิ์เองก็ได้แสดงเจตนารมณ์ของตัวเองโดยใช้คำว่า “ลาออก” จากการเป็นสมาชิกพรรค เพราะฉะนั้นไม่ว่าหนังสือจะเขียนมาอย่างไร แต่พรรคประชาชนจะขอยึดตามเจตนารมณ์ของผู้ยื่นหนังสือเป็นตัวตั้ง ฉะนั้นมาตรการแรกคือการยื่นขอตีความไปยังหน่วยงานที่เกียวข้องว่าหนังสือที่กฤษฎิ์ได้ยื่นให้กับกรรมการบริหารพรรคประชาชนนั้นถือเป็นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกรณีต่อไป ที่ประชุม สส. และผู้บริหารพรรคได้มีมาตรการที่จะลงโทษให้สส.กฤษฎิ์ไม่ได้สิ่งที่ต้องการในการย้ายไปพรรคกล้าธรรม หากสุดท้ายมีการตีความออกมาแล้วว่าหนังสือฉบับนั้นไม่ใช่หนังสือลาออก พรรคประชาชนจะไม่ทำการขับสส.กฤษฎิ์ออกจากพรรค แต่จะใช้มาตรการในการ “ดองงูเห่า” รวมถึงการนำเรื่องเข้ากรรมการวินัยของพรรคเพื่อตัดสิทธิพึงมีทุกอย่างในสถานะสมาชิกพรรคที่สส.กฤษฎิ์มีอยู่
นอกจากนี้ ในวันที่ 18 พฤษภาคมนี้ ตนจะเข้าพื้นที่พร้อม สส. ชลบุรีทุกเขตเพื่อยืนยันกับประชาชนว่า พรรคประชาชนยังพร้อมเดินหน้ารับใช้ประชาชนในทุกเขต รวมถึงเขต 6 ที่เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น และในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน ได้มีการมอบหมายให้นายสหัสวัตเป็นผู้ดูแลพื้นที่เขต 6 แทนสส.กฤษฎิ์ต่อจากนี้ไปแล้ว