
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย นายนรุณ สุขสมาน รองเลขาธิการสํานักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเปิดงาน Global ISO Conference 2025 การประชุมประจำปีของณะอนุกรรมการด้านซอฟต์แวร์และวิศวกรรมระบบ (ISO/IEC JTC1/SC7) ครั้งที่ 44 ซึ่งกระทรวงดีอี โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมโดย สมอ. และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกันจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 8 – 13 มิถุนายน โดยมี ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผอ.ดีป้า , นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการใหญ่ , ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ และ นายอมฤต ฟรานเซน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมถึงคณะอนุกรรมการด้านซอฟต์แวร์และวิศวกรรมระบบจาก 26 ประเทศเข้าร่วม
นายประเสริฐ กล่าวว่า รัฐบาลโดยกระทรวงดีอี ให้ความสำคัญกับการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลควบคู่กับการยกระดับมาตรฐานดิจิทัลให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล หนึ่งในแนวทางสำคัญคือ การพัฒนากลไก ‘บัญชีบริการดิจิทัล’ (Thailand Digital Catalog) ของดีป้าเพื่อยกระดับมาตรฐานผู้ประกอบการไทย โดยมีการตรวจสอบคุณสมบัติและรับรองมาตรฐานของสินค้าและบริการดิจิทัล อาทิ Software, Software as a Service (SaaS), Digital Content, Smart Devices, Hardware & Firmware ให้เป็นไปตามเกณฑ์สากล เช่น CMMI, ISO และ dSURE ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่มอบให้กับผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการใช้งาน (Safety) ความสามารถในการทำงาน (Functionality) และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity)

“รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ในนามของประเทศไทยขอขอบคุณที่ไว้วางใจให้เราเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งสำคัญนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า Global ISO Conference 2025 จะเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรฐานซอฟต์แวร์และวิศวกรรมระบบจากทั่วโลกมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ ที่เป็นรูปธรรมในการยกระดับมาตรฐานซอฟต์แวร์ของโลกได้อย่างแท้จริง เพื่ออนาคตดิจิทัลที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับทุกคน” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล ได้กล่าวเน้นย้ำถึงบทบาทเชิงรุกของ ดีป้า ในการขับเคลื่อนและยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย โดยชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จอันเป็นรูปธรรมในการสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยผ่านบัญชีบริการดิจิทัล และมาตรฐาน dSURE โดย ดีป้า วางแนวทางให้บัญชีบริการดิจิทัลเป็นกลไกที่ทำหน้าที่เป็นประตูสู่โอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของผู้ประกอบการดิจิทัลไทย ขณะที่ dSURE จะเป็นตราสัญลักษณ์รับรองคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ดิจิทัลตามมาตรฐานสากล พร้อมกันนี้ยังได้กล่าวถึงกรอบแนวทางการพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับคนไทย (Digital Skill Roadmap) เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมกำลังคนดิจิทัลของประเทศ

ปัจจุบันมีผู้ประกอบการไทยที่ ดีป้า ส่งเสริมให้เกิดการยกระดับมาตรฐานโดยการขอรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 29110 แล้วกว่า 520 บริษัท พร้อมผลักดันผลิตภัณฑ์ดิจิทัลให้ได้รับการขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัลแล้วกว่า 700 รายการ ซึ่งเกิดจากการผสานความราวมมือกับ สมอ. และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ดีป้า ได้ออกแบบกรอบแนวทางการพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับคนไทย หรือ Digital Skill Roadmap เพื่อ Upskill, Reskill รวมถึงเพิ่ม New Skill ด้านดิจิทัลให้กับประชาชนคนไทย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างงาน เพิ่มโอกาสทางอาชีพ เพิ่มรายได้ ตลอดจนเติมเต็มความต้องการของตลาดด้วยทักษะดิจิทัลขั้นสูง ซึ่งการดำเนินงานของ ดีป้า สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศในการเป็นผู้นำด้านมาตรฐานดิจิทัลของภูมิภาค และเป็นเครื่องยืนยันถึงเป้าหมายในการเพิ่มศักยภาพของบุคลากรดิจิทัลไทยที่พร้อมก้าวสู่เวทีระดับสากล
นอกจากนี้ ภายในพิธีเปิดงาน Dr. Sundeep Oberoi, Chairperson of ISO/IEC JTC1/SC7 ได้มอบรางวัล Token of Appreciation แก่ ดีป้า สมอ. และ สภาอุตสาหกรรมฯ พร้อมกล่าวขอบคุณทั้งสามหน่วยงานที่จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้น ทั้งนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมบรรยายพิเศษสำหรับนักพัฒนา ผู้ประกอบการ และหน่วยงานไทย เพื่ออัปเดตแนวโน้มการพัฒนามาตรฐานดิจิทัลในหัวข้อสำคัญ อาทิ Standards and Policies, Green Software และ Low Code / No Code Development โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศ

สำหรับงาน Global ISO Conference 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 13 มิถุนายน 2568 ซึ่งถือเป็นการประชุมประจำปีของคณะอนุกรรมการด้านซอฟต์แวร์และวิศวกรรมระบบ (ISO/IEC JTC1/SC7) ครั้งที่ 44 โดยมีประเทศสมาชิกเข้าร่วม 26 ประเทศ รวมกว่า 190 คน และมีการประชุมใหญ่ (Plenary Meeting) การประชุมกลุ่มทำงานย่อย (Working Groups – WGs) ซึ่งรับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานในประเด็นสำคัญ อาทิ การพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI-based software development) วิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green software) การพัฒนาแบบ Low Code (Low code development) เป็นต้น รวมถึงการประชุมกลุ่มเฉพาะกิจ (Ad Hoc Groups – AHGs) เพื่อศึกษาประเด็นใหม่ ๆ หรือแก้ไขปัญหาเฉพาะกิจ รวมทั้งสิ้นกว่า 60 การประชุม ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้มาซึ่งมาตรฐานที่ตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในการใช้งานซอฟต์แวร์และระบบทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่า จากการประชุมในครั้งนี้จะขยายผลให้เกิดการพัฒนามาตรฐานซอฟต์แวร์และระบบฉบับใหม่/ปรับปรุง ไม่น้อยกว่า 40 ฉบับ ครอบคลุมการอนุมัติมาตรฐาน รายงานความคืบหน้าของงาน และการกำหนดทิศทางอนาคตต่อไป