
คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา จัดสัมมนา “e-Commerce กลืนชาติ : ฟังเสียงคนค้าออนไลน์ไทยก่อนจะสาย” ที่อาคารัฐสภา โดยมี นายวิวรรธน์ ไกรพิสิทธิ์กูล ประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภาเป็นประธานเปิดสัมมนา โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งไทยและต่างประเทศ ผู้ประกอบการขนส่ง และผู้ที่สนใจมารับฟังเป็นจำนวนมาก เพื่อบอกถึงอุปสรรคในการค้าออนไลน์ พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหาต่าง ๆ เพื่อให้กมธ.นำไปเสนอหน่วยงานเกี่ยวข้องดำเนินการแก้ปัญหา
ดร.เอกชัย เรืองรัตน์ รองประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ฯ (กมธ.) เปิดเผยว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้ได้รับรู้ถึงความต้องการของผู้ประกอบการโดยตรง ทำให้เราทราบว่าอะไรที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าออนไลน์ อะไรที่ผู้ประกอบการต้องการให้หน่วยงานรัฐแก้ปัญหา กมธ.จึงต้องเป็นสื่อกลางระหว่างหน่วยงานรัฐและผู้ประกอบการโดยตรง เพราะการค้าออนไลน์มีมูลค่ามหาศาลนำรายได้เข้าประเทศจำนวนมาก

ดร.เอกชัย กล่าวว่า ภาพรวมตลาด E-Commerce ไทย มูลค่าตลาด E-Marketplace ปี 2024 ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาด E-Marketplace ประกอบด้วย Shopee: 40.9% (ประมาณ 330,946 ล้านบาท) Lazada: 34.9% (ประมาณ 282,474 ล้านบาท) TikTok: 24.1% (ประมาณ 195,051 ล้านบาท) ซึ่ง 70% ของรายได้มาจากค่าบริการโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3% โดยพฤติกรรมผู้บริโภค Shopee และ Lazada ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคนิยมเข้าชมมากที่สุดใน 30 วันที่ผ่านมา โดย Shopee มีสัดส่วน 75% และ Lazada 68%
ดร.เอกชัย กล่าวว่า ข้อเสียการขายผ่าน Market Place มีหลายอย่าง อาทิ การแข่งขันสูง เจอคู่แข่งทั่วประเทศ และต่างประเทศ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม มีแนวโน้มจะปรับราคาขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าใครอยากยอดขายดีต้อง ซื้อโฆษณา ใน Marketplace ให้ช่วยดัน เราไม่ได้เจ้าของ Platform ปรับแก้อะไรไม่ได้ ข้อมูลไม่ใช่ของเรา ลูกค้า โดนปิดกั้น และหาก Marketplace ปิดร้านค้าเราขึ้นมา เราจะไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ดังนั้นทางออกของผู้ประกอบการไทยคือ ต้องมีช่องทางการขายของตัวเอง (Owned Channel) เพื่อ ลดการพึ่งพา Marketplace

สำหรับ ข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานถ้าเป็นปัญหาแพลตฟอร์มและระบบขนส่งคือ แพลตฟอร์มบังคับใช้ขนส่งที่กำหนด ทำให้ผู้ขายไม่สะดวก และแก้ไขปัญหายากเมื่อเกิดข้อผิดพลาด, แพลตฟอร์มชอบดองเงินผู้ขาย 7-14 วัน ควรจ่ายเร็วขึ้น,แพลตฟอร์มบังคับให้ส่งของรวดเร็วเกินไป สร้างความลำบากแก่ผู้ขาย และแพลตฟอร์ม TikTok เปลี่ยนขนส่งเองโดยไม่แจ้งผู้ขายล่วงหน้า โดยผู้ประกอบการมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมและการแข่งขันคือ ค่าธรรมเนียมแพลตฟอร์มสูงแต่บริการแย่ลง,ขอให้ลดค่าธรรมเนียมและควบคุมการเก็บเงินที่ไม่เป็นธรรม,เรียกร้องให้รัฐเก็บภาษีกับสินค้านำเข้ารายย่อยจากจีนอย่างเข้มงวด และต้องการลดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากสินค้าทุ่มตลาดและสินค้าปลอม
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาสินค้าปลอมและสินค้านำเข้า โดยสินค้าปลอมและสินค้านำเข้าที่ไม่ถูกต้องยังแพร่หลายบนแพลตฟอร์ม ยังมีการปลอมแบรนด์ไทยและขายตัดราคาอย่างหนักใน Marketplace จึงต้องการให้แพลตฟอร์มตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าจากจีนและสินค้าผิดกฎหมาย สินค้าจากจีน เช่น วัสดุก่อสร้างและสารเคมีอันตรายเข้ามากระทบธุรกิจไทย จึงมีข้อเสนอเชิงเทคนิคและเชิงระบบคือ อยากให้รัฐพัฒนาระบบกลางตรวจสอบเลข อย. และข้อมูลสินค้าก่อนโพสต์ขาย บังคับให้ Marketplace ที่มีรายได้สูงเปิด API เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลได้ แนะนำใช้แชทบอทแก้ปัญหาการติดต่อผู้ขายและลูกค้า และควรเปิดให้ระบบเชื่อมต่อการชำระเงิน การจัดส่ง และการจัดการคำสั่งซื้ออย่างเสรี

“ยังมีข้อเสนอให้รัฐควรเปิดข้อมูลเพื่อลิงก์เช็คข้อมูลสินค้า เช่น การตรวจสอบเลข อย. เมื่อผู้ขายกรอกข้อมูลบนแพลตฟอร์ม เพื่อยืนยันความถูกต้องก่อนโพสต์ขาย ข้อเสนอให้กำหนดสัดส่วนสินค้าบริการของไทยบนแพลตฟอร์มที่ให้บริการในประเทศ เพื่อส่งเสริมสินค้าไทยและลดการผูกขาดจากสินค้านำเข้า การสร้างระบบแจ้งเตือนและรายงานสินค้าผิดกฎหมาย และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การเปิดข้อมูลควรเชื่อมต่อกับหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ เช่น อย. , กรมทรัพย์สินทางปัญญา, กรมศุลกากร เพื่อการตรวจสอบที่ครบถ้วนและอัปเดตข้อมูลทันที”ดร.เอกชัย กล่าว
รองประธานคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ฯ กล่าวว่า ยังมีข้อเสนอให้รัฐบาลและหน่วยงานรัฐควรตั้งแพลตฟอร์มกลางของไทย และสนับสนุนแพลตฟอร์มไทยให้แข่งขันได้ อยากให้รัฐบังคับ Marketplace เปิดเผยข้อมูลผู้ขายและลูกค้า เพื่อความโปร่งใส รัฐควรมีมาตรการควบคุมสินค้านำเข้าเลี่ยงภาษี และตั้งกำแพงภาษีที่เหมาะสม สนับสนุนการใช้ระบบกลางสำหรับการเปิดใบเสร็จและใบกำกับภาษีในแพลตฟอร์ม เรียกร้องให้รัฐมีระบบแจ้งเตือนและช่องทางร้องเรียนที่เข้าถึงง่าย

อย่างไรก็ตาม อยากให้รัฐส่งเสริมผู้ประกอบการไทยและ SMEs อย่างเป็นรูปธรรม เช่น การลดภาษีหรือสนับสนุนทุน ผู้ประกอบการขอให้มีกฎหมายและการบังคับใช้ที่เท่าเทียมและเข้มงวด อีกทั้งมีข้อสังเกตคือ ทุกประเทศกำลังพยายามลดการนำเข้าสินค้าจีนราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศ แต่ทำไมประเทศไทยยังคงอนุญาตให้มีการทุ่มตลาดราคาสินค้าเข้ามาในตลาดของเราอยู่ ขอให้ภาครัฐช่วยจัดการ
ทั้งนี้ ยังมีข้อเสนอที่เห็นว่าเป็นประโยชน์คือ ควรมีการจัดทำกฎหมายควบคุมแพลตฟอร์มดิจิทัลและ e-Commerce อย่างครอบคลุม เสนอจัดประชามติหรือร่างกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมแพลตฟอร์มใหญ่ เช่น Facebook และ Marketplace ต้องการสร้างกลไกตรวจสอบและป้องกันสินค้าปลอมที่เข้ามาผ่านแพลตฟอร์ม เพราะปัญหาที่กล่าวมาผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบ เจ้าของแบรนด์และ SME ไทยได้รับผลกระทบจากสินค้าปลอมและตัดราคา ผู้ประกอบการถูกกดดันด้านราคาและโปรโมชั่นจนต้นทุนสูงขึ้น ผู้ขายที่ทำถูกต้องตามกฎหมายส่วนใหญ่ขาดทุนและไม่สามารถแข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม การสร้างช่องทางขายของตัวเอง (own-channel) เป็นทางออกแต่ยังไม่เพียงพอหากขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ

