
นายวีระพงษ์ ประภา ผู้แทนการค้าไทย ได้พบหารือกับ Ms. Paulina Dejmek, Head of Cabinet for Ms. Jessika Roswall กรรมาธิการด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจหมุนเวียนแห่งสหภาพยุโรป (DG-ENV) ณ สำนักงานใหญ่คณะกรรมาธิการยุโรป กรุงบรัสเซลส์ โดยทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการค้าและความยั่งยืน เศรษฐกิจหมุนเวียน และการดำเนินงานของประเทศไทยตามกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EU Deforestation Regulation: EUDR) เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568
ในโอกาสนี้ ผู้แทนการค้าไทยได้รายงานถึงความคืบหน้าของไทยในการเตรียมความพร้อมรับมือกับมาตรการ EUDR รวมถึงการทำงานของคณะกรรมการระดับชาติและคณะทำงานย่อยจำนวน 10 คณะ อาทิ ด้านแผนที่ ด้านการส่งเสริมการผลิตและการปรับตัวของเกษตรกร และคณะทำงานรายสินค้า เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในเชิงรุก โดยมีผู้แทนจากหลายภาคส่วน เช่น สภาเกษตรกรแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงานร่วมกันอย่างครอบคลุมและรอบด้าน ผู้แทนการค้าไทยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการให้สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ไม่เพียงเฉพาะมาตรการ EUDR เท่านั้น แต่รวมถึงมาตรการอื่น ๆ เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) การทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และข้อกำหนดด้านการออกแบบสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเห็นว่ากฎระเบียบเหล่านี้ไม่ควรถูกมองเป็นอุปสรรคทางการค้า แต่ควรเป็นปัจจัยส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการและเศรษฐกิจของไทยในอนาคต
Ms. Paulina Dejmek ได้แสดงความชื่นชมต่อบทบาทของไทยในการขับเคลื่อนประเด็นการลดการตัดไม้ทำลายป่า และย้ำว่าสหภาพยุโรปยินดีรับฟังข้อคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อพัฒนามาตรการ EUDR ให้เกิดความชัดเจน ไม่เป็นภาระเกินควรต่อภาคธุรกิจ โดยขณะนี้สหภาพยุโรปอยู่ระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้การปฏิบัติตามกฎระเบียบเป็นไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และฝ่ายสหภาพยุโรปยินดีที่ไทยได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำภายใต้ EUDR และพร้อมสนับสนุนความร่วมมือด้านการเสริมสร้างศักยภาพเพิ่มเติม โดยเฉพาะการจัดอบรม การพัฒนาระบบไอที และการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎระเบียบได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั้งสองฝ่ายมีกำหนดจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการร่วมกันในช่วงเดือนสิงหาคมนี้

นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความคืบหน้าในการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-อียู (FTA) โดยจนถึงปัจจุบันสามารถสรุปเนื้อหาได้แล้ว 4 บทจากทั้งหมด 20 บท และเตรียมจัดการเจรจารอบถัดไประหว่างวันที่ 23–28 มิถุนายนนี้ ที่กรุงเทพฯ โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญที่อยู่ระหว่างการเจรจา คือ บทว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Trade and Sustainable Development – TSD) ซึ่งไทยให้ความสำคัญมาก โดยเน้นให้มีการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในประเทศ เพื่อให้มาตรฐานใหม่ไม่เป็นอุปสรรคทางการค้า แต่เป็น “สะพาน” เปิดโอกาสให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดยุโรปได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ฝ่ายไทยยังได้เสนอให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูง โดยเฉพาะการเยือนไทยของกรรมาธิการด้านสิ่งแวดล้อมของอียูในช่วงปลายปี เพื่อศึกษาการดำเนินงานของไทยในพื้นที่จริง เช่น พื้นที่เกษตรยั่งยืน และระบบตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึกและสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าของไทยได้ดียิ่งขึ้น
ความร่วมมือกับอียูในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม การค้า และการพัฒนาอย่างยั่งยืน จะไม่เพียงเสริมสร้างภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลก แต่ยังส่งผลดีโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเช่น ยางพารา ไม้ ปาล์มน้ำมัน และอาหาร ที่จะมีโอกาสได้พัฒนามาตรฐานสินค้าให้สูงขึ้นตามมาตรฐานใหม่ของยุโรปสร้างมูลค่าเพิ่มและเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพมากขึ้น โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการกระชับความร่วมมือกับสหภาพยุโรปอย่างใกล้ชิด ทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค โดยเฉพาะการร่วมกันผลักดันให้เกิดห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม และประเทศไทยมีศักยภาพอย่างมากที่จะแสดงบทบาทนำในอาเซียนในประเด็นสำคัญนี้