
เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่กระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยมี นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับ 17 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการขับเคลื่อนข้อสั่งการของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เน้นให้แก้ปัญหาสินค้าไร้คุณภาพและธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมายไทยอย่างจริงจัง ช่วยปกป้องผู้ประกอบการและผู้บริโภคไทย
นายพิชัย เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้มุ่งติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อสั่งการท่านนายกรัฐมนตรี พร้อมรับฟังปัญหาและอุปสรรคจากหน่วยงานต่างๆ โดยเน้น 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1.การบังคับใช้กฎหมายกับแพลตฟอร์ม e-Commerce
2.การเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้า โดยเฉพาะในเขต Free Zone
3.การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อตรวจสอบการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า
4.การปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการขนถ่ายสินค้า (Transshipment)

ทั้งนี้ จากข้อมูลสถิติจากเดือนกันยายน 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 แสดงให้เห็นว่า หน่วยงานภายใต้คณะกรรมการฯ ได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าผิดกฎหมายจำนวน 57,739 คดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,287 ล้านบาท สามารถจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ได้ถึง 1,875 ล้านบาท และดำเนินการ Notice and Takedown เพื่อลบสินค้าผิดกฎหมายออกจากแพลตฟอร์มออนไลน์มากกว่า 14,976 รายการ พร้อมปราบปรามธุรกิจนอมินีแล้ว 861 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 15,296 ล้านบาท
นายพิชัย กล่าวว่า เพื่อป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าและการบิดเบือนข้อมูลการนำเข้า ได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมพัฒนาระบบตรวจสอบและเชื่อมโยงข้อมูลสินค้านำเข้า โดยสำนักงาน ปปง. อยู่ระหว่างเสนอร่างแก้ไขกฎหมายฟอกเงิน เพื่อให้การประกอบธุรกิจโดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นความผิดมูลฐานและ สำนักงาน ป.ย.ป. ได้หารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางปรับปรุงกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน และกรมศุลกากรอยู่ระหว่างพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Transshipment เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการถือครองที่ดินของคนต่างด้าว และจัดตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด โดยกระทรวงมหาดไทยมีหนังสือแจ้งสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศตั้งคณะทำงานเพื่อปฏิบัติการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจที่ฝ่าฝืนกฎหมาย(นอมินี) ภายในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 เพื่อตรวจสอบสืบสวน สอบสวน จับกุมและดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และที่ประชุมฯมีมติให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกำกับติดตามการตรวจนอมินีในทุกจังหวัดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าตรวจสอบเชิงรุก ปูพรมทั่วประเทศ ซึ่งมีนิติบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่อาจมีลักษณะนอมินี จำนวน 46,918 ราย โดยเน้นหนักที่ 4 จังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ ชลบุรี กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี

“เราจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ท่านนายกรัฐมนตรีได้สั่งการเพื่อปกป้องคนส่วนใหญ่ของประเทศให้ทุกหน่วยงานต้องทำงานเชิงรุกและบูรณาการอย่างเข้มข้น ในสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมร่วมกับรองผู้ว่าฯในการมอบหมายตรวจสอบเรื่องนอมินี พร้อมกับพาณิชย์จังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน” นายพิชัย กล่าว
ด้านนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ในประเด็นการตรวจสอบธุรกิจนอมินี กระทรวงฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบบริษัทที่มีชาวต่างชาติเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 0.0001–49.99% ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 46,918 ราย โดยมีการตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด นำโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัด และประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด สรรพากรพื้นที่ จัดหางานจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด โดยมีพาณิชย์จังหวัดทำหน้าที่เลขานุการ พร้อมกำหนดไทม์ไลน์อย่างชัดเจน คาดว่าจะตรวจสอบแล้วเสร็จทั้งหมดภายใน 1 ปี
ทั้งนี้ ในช่วง 6 เดือนแรกจะสามารถดำเนินการครอบคลุมได้ถึง 69 จังหวัด ส่วนอีก 7 จังหวัดที่มีจำนวนบริษัทมาก จะมีทีมจากส่วนกลางลงไปสนับสนุนเป็นพิเศษในส่วนของการป้องกันไม่ให้มีบริษัทนอมินีรายใหม่เข้ามาจดทะเบียนในประเทศไทยอีก รัฐบาลมีแผนปรับปรุงกฎหมาย โดยเสนอให้เพิ่มความผิดฐาน “นอมินี” เข้าไปเป็นหนึ่งในความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งจะเปิดทางให้สามารถยึดหรือริบทรัพย์สินของบริษัทที่กระทำผิดได้
รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งตนเองและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะเร่งผลักดันให้ ครม. มีมติส่งต่อร่างกฎหมายเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้สามารถพิจารณาได้ทั้ง 3 วาระรวด โดยจะใช้กลไกของกรรมาธิการและการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อผลักดันให้กฎหมายฉบับนี้ออกโดยเร็ว คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี และเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดบริษัทนอมินีรายใหม่ในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ